GTX เป็นรถสปอร์ตตัวแรงแบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าซึ่งได้รับการออกแบบรูปลักษณ์โดยแดเนี่ยล พอลิน นักออกแบบชื่อดัง และถูกผลิตโดยทาง Devon Motorworks เพื่อสร้างตำนานบทใหม่ให้กับรถสปอร์ตอเมริกัน ที่เหนือชั้นทั้งสมรรถนะและเทคโนโลยียานยนต์ ซึ่งในรุ่นที่จำหน่ายจะมากับตัวถังคูเป้ที่มีระยะฐานล้อ 2,500 มิลลิเมตร แต่มีให้เลือก 2 เวอร์ชัน คือ สำหรับการใช้งานบนถนนเป็นหลัก และสำหรับการใช้งานในสนามแข่ง
โครงสร้างของตัวรถขึ้นรูปแบบสเปซเฟรม โดยตัวโครงและชิ้นส่วนต่างๆ ได้รับการผลิตจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบาทั้งคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีคุณภาพอยู่ระดับเดียวกับที่ใช้ในการผลิตเครื่องบิน ผสมกับอะลูมิเนียมและเหล็กที่มีความแข็งแกร่งเพื่อทนทานต่อการบิดตัวระหว่างที่ถูกเค้นสมรรถนะออกมา
เครื่องยนต์ที่วางอยู่ด้านหน้าเป็นบล็อกวี10 แบบ 2 วาล์วต่อสูบ ที่มีความจุ 8,400 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT ซึ่งแม้ว่าทาง Devon จะไม่ได้เปิดเผย แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นการยกมาจากห้องเครื่องของดอดจ์ ไวเปอร์รุ่นปัจจุบัน ซึ่งตัวเลขแรงม้าที่ขุมพลังวี10 บล็อกนี้มีกำลังอยู่ที่ 650 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที และส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะสู่การขับเคลื่อนแบบล้อหลัง
ตัวเลขสมรรถนะยังไม่ระบุ แต่ก่อนที่จะเปิดตัวคันจริง ทาง Devon เคยนำ GTX ไปแล่นทำสถิติที่สนามแข่งชื่อดังของสหรัฐอเมริกาถึง 2 สนาม ที่ Willow Springs raceway ในแคลิฟอร์เนีย และ Mazda Raceway ที่ Laguna Seca พร้อมทุบสถิติเดิมของทั้ง 2 สนามนี้อย่างราบคาบ ด้วยตัวเลข 1 นาที 26 วินาทีสำหรับสนามแรก และ 1 นาที 35.075 วินาทีสำหรับสนามที่ 2 แต่น่าเสียดายที่ในสนามแรก เป็นสถิติที่ไม่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นทางการ
นอกจากจะแรงแล้ว เรื่องของระบบช่วงล่างและระบบเบรกก็มีการพัฒนาเพื่อให้สอดรับกับตัวรถด้วย โดยในช่วงแรกของการทำตลาดจะใช้ช่วงล่างแบบปีกนก 2 ชั้น SLA ที่ชุดปีกนกผลิตจากอะลูมิเนียม ส่วนใครที่อยากได้ระบบปรับระดับความสูงและความหนืดของโช้กอัพด้วยไฟฟ้าต้องรออีกสักระยะ เพราะจะมีการผลิตเป็นออพชั่นตามออกมาขายในปลายปี 2010
ขณะที่ดิสก์เบรกมากับขนาด 380 มิลลิเมตรพร้อมคาลิเปอร์ 6 ลูกสูบสำหรับด้านหน้า และ 355 มิลลิเมตรพร้อมคาลิเปอร์แบบ 4 ลูกสูบสำหรับด้านหลัง จับคู่กับล้อแม็กลายสปอร์ต 10X18 นิ้วสำหรับด้านหน้า และ 13X19 นิ้วสำหรับด้านหลัง พร้อมยางรุ่นพิเศษจากมิชลิน ส่วนใครที่อยากสวยมากกว่านี้ก็มีชุดล้อ 19 และ 20 นิ้ววางขายเป็นออพชั่นที่ต้องเสียเงินเพิ่ม
แค่ 36 คันเท่านั้นสำหรับการผลิตในแต่ละปี ใครที่สนใจและชอบความแรงแบบไม่เหมือนใครคงต้องรีบกันหน่อย ส่วนราคาตั้งเอาไว้ครึ่งล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 17.5 ล้านบาทสำหรับรุ่นปกติ แต่ถ้าอยากได้แพ็คเกจสำหรับเอาไว้ลงในสนามแข่ง ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 25,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 875,000 บาท