ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ซึ่งเรา "ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง" เรื่องราวของรถมินิ รุ่นต่างๆ ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปีการถือกำเนิดขึ้น คราวนี้เป็นรุ่นต่อมาของเวอร์ชั่นดั้งเดิมที่ขายกันจนถึงปี 2000 ก่อนจะยุติการผลิต รวมถึงนำเสนอรุ่นพิเศษที่โดดเด่นของมินิ

Mini Mark IV
ปีที่ผลิต ค.ศ. 1976-1984
รถมินิรุ่น Mk4 เริ่มผลิตออกมาจำหน่ายในปี 1976 โดยมีสิ่งที่ปรับเปลี่ยนพอจะสังเกตุได้แก่ น๊อตยึดคานหน้าเป็นตัวใหญ่ด้านละตัว กระจกไล่ฝ้าด้านหลัง, ไฟฉุกเฉิน, ยางเรเดียล, แผงสวิตซ์ไฟใหม่และ แป้นคันเร่ง เบรค คลัซ ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตลอดการผลิต
รถมินิรุ่น Mini 1000 Special เป็นรุ่นแรกของโรงงานที่ผลิตแบบ Limited Edition (LE) model ซึ่งผลิตเป็นสีเขียวและขาวพร้อมด้วยเบาะนั่งเป็นแถบริ้วและขลิบตรงเบาะนั่ง
ในปี 1977, ไฟถอยหลัง, เบาะนั่งแบบปรับเอนได้, กระจกมองหลังแบบปรับได้ อุปกรณ์เหล่านี้ถูกเพิ่มเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถมินิ การฉลองครบรอบ 20 ปี เมื่อปี 1979 มีการผลิตมินิรุ่น 1100 Special LE ออกจำหน่าย พร้อมกับการวางแผนของ BL ที่จะเลิกการผลิตรถมินิในปี 1982 แต่แล้วก็มีการทบทวนแผนดังกล่าวใหม่ จนกระทั่งคลอด มินิ รุ่น Mayfair ออกมาเมื่อปี 1982
ระหว่างนั้น ปี 1980 บริษัท BL ได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นชื่อ HL และเปลี่ยนเป็น HLE อีกครั้งในปี 1982

Mini Mark V
ปีที่ผลิต ค.ศ. 1984-1991
รถมินิรุ่น Mk5 เริ่มผลิตออกมาจำหน่ายในปี 1984 ด้วยมาตรฐานใหม่ล้อขนาด 12 นิ้ว, Disc Brakes ล้อหน้า และซุ้มล้อพลาสติกเพิ่มมาจากเดิม ซึ่งกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานตลอดการผลิต และถือเป็นยุคทองของรถมินิแบบ Limited Editions โดยมีไม่น้อยกว่า 20 แบบใน 7 ปี พร้อมกับการเปลี่ยนชื่อบริษัท เป็น Austin Rover Group และกลายเป็น Rover Group ในเวลาต่อมา
ในปี 1985 รถมินิรุ่น City ย้ายหน้าปัดไมล์จากตรงกลางมาอยู่ด้านคนขับ ขณะเดียวกันรุ่น Mayfair มีการเพิ่มวัดรอบเข้าไป ปีต่อมา มินิ ฉลองการผลิตครบ 5,000,000 คันพร้อมกับฉลองวันเกิดครบรอบอายุ 80 ปี ของเซอร์ เอล็ค ผู้ให้กำเนิดมินิ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงเมื่อปี 1988
รถมินิตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นไปจะมีเข็มขัดนิรภัยเบาะหลังและหม้อลมเบรกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะเดียวกันมินิรุ่น City เพิ่มพนักพิงศรีษะเบาะหน้าและรุ่น Mayfairเพิ่มวิทยุเทป ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนแง่การดำเนินธุรกิจ ผู้บริหารตกลงขายบริษัท Rover Group ให้กับบริษัท British Aerospace ปีถัดมามีการจัดงานฉลองอายุครบ 30 ปีของมินิที่ Silverstone
สำหรับปี 1990 รถมินิรุ่น Flame Red และ Racing Green ถูกผลิตออกมาจำหน่าย โดยมีล้อเป็น Minilite-Style Alloys และมีการเปลี่ยนแปลงระยะเข้าเกียร์ใหม่เพื่ออัตราเร่งที่ดีขึ้น ซึ่งทั้งสองรุ่นจะมีหลังคาเป็นแบบตารางหมากรุกสีขาวดำ (Check Mate) และในแบบ Studio 2
ขณะที่รถมินิรุ่น Cooper ถูกนำกลับมาผลิตใหม่ในรูปแบบ Limited Edition จำนวน 1,000 คัน (61 แรงม้า 1,275cc คาร์บูเรเตอร์) ซึ่งจัดสร้างโดย Rover Special Products (RSP)

Mini Mark VI
ปีที่ผลิต ค.ศ. 1991-1996
มินิ Mk6 เป็นครั้งแรกของการเปลี่ยนแปลงระบบเครื่องยนต์จากคาร์บูเรเตอร์หันมาคบกับหัวฉีด ขนาดความจุ 1,275 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 63 แรงม้า ซึ่งจะมาพร้อมกับการเปลี่ยนล้อเป็นขนาด 13 นิ้ว และผลิตโดยบริษัท โรเวอร์ โดยเริ่มจำหน่ายเมื่อปี 1991 ในหลายรุ่นย่อย ต่อมาในปี 1992 เพิ่มรุ่นมีซันรูฟแบบผ้าใบเปิดปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมกับสำนักแต่ง จอห์น คูเปอร์ การาจ ได้รับเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายรถมินิที่มีชุดแต่งอย่างเป็นทางการ
ปีถัดมา มินิถูกลดจำนวนผลิตลงต่ำกว่า 21,000 คัน โดยยังคงความหลากหลายรุ่นเอาไว้ เช่น รุ่น Cabriolet ถูกผลิตออกมาจำหน่ายอีกครั้งด้วย และล้อขนาด 12 นิ้ว, รุ่น Rio, รุ่น Tahiti, รุ่น Mayfair และรุ่น Cooper มีอุปกรณ์ Standard Alarm และแผงหน้าปัดลายไม้เป็นอุปกรณ์เสริม
ในปี 1994 ตำนานบทสุดท้ายของมินิ ดั้งเดิม ก็มาถึงเมื่อบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู เทคโอเวอร์บริษัท Rover Group เจ้าของแบรนด์มินิ และในปีถัดมา บีเอ็มดับเบิลยู เริ่มโครงการพัฒนามินิ ใหม่ขึ้น โดยยังคงมีรถรุ่นต่างๆ ออกจำหน่ายเหมือนเดิม และรุ่นพิเศษเช่น Cooper Monte Carlo ถูกผลิตออกมาจำหน่าย เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีที่ชนะการแข่งขันที่ Monte Carlo

Mini Mark VII
ปีที่ผลิต ค.ศ. 1996-2000
รถมินิรุ่น Mk7 ถือเป็นรถมินิรุ่นสุดท้ายตามแบบฉบับดั้งเดิม ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นรถมินิ ใหม่ในแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยูโดยเริ่มผลิตออกจำหน่ายในปี 1996 สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายรายการเช่น หัวฉีดแบบ Twin-Point, อัตราทดเกียร์ 4 สูงขึ้น, ถุงลมนิรภัยตำแหน่งคนขับ, คานกันกระแทกด้านข้าง, ระบบป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก, ปรับปรุงเบาะนั่งด้านหน้า, ตัวยึดหม้อน้ำด้านหน้าและอุปกรณ์เสริม Sportspack
รถมินิคลาสสิครุ่นใหม่ที่เป็นแบบ non-Cooper ถูกผลิตออกมาจำหน่ายเมื่อปี 1997 ขณะที่ รุ่น Mayfair ถูกหยุดการผลิต ต่อมาปี 1998 รถมินิรุ่น Paul Smith ถูกผลิตออกมาจำหน่าย และในปี 1999 มินิรุ่น 40, Cooper S Works Touring/5 Sport และ John Cooper ถูกผลิตออกมาจำหน่าย พร้อมกับมีการจัดงานฉลองรถมินิอายุครบ 40 ปีที่ Silverstone
เข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม ปี 2000 บีเอ็มดับเบิลยูขายบริษัท Rover ให้กับสมาคม Phoenix แต่ยังเก็บลิขสิทธิ์ชื่อของมินิ (Mini) ไว้ พร้อมกับยุติการผลิตรถมินิซึ่งรถมินิรุ่นสุดท้ายคือรุ่น Cooper Sport 500 ได้ออกมาจากสายการผลิตจาก Longbridge (No. 5,387,862)
Mini Mark III / IV / V / VI และ VII ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 2,050,000 คัน

Mini Clubman
ปีที่ผลิต ค.ศ.1969 - 1980
หลังจากที่มินิประสบความสำเร็จกว่าทศวรรษ บริษัท British Leyland Motor จึงตัดสินใจเพิ่มความหรูหรา และความแรงของรถ เพื่อขยายแบรนด์เข้าสู่ตลาดบน โดยผลิตรถรุ่น Mini Clubman และ Mini 1275GT ขึ้น โดยเชิญศิลปิน ดีไซน์เนอร์ ชื่อดังในยุคนั้น, Ford Roy Haynes มาเป็นผู้ออกแบบมินิรุ่นนี้ ซึ่งตั้งใจให้เป็นรถที่มี รูปลักษณ์เปลี่ยนไป โดย Mini รุ่นนี้ถูกเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาจาก ‘หน้ากบ’ เป็น ‘หน้าเหลี่ยม’
Mini Clubman เป็นรถยนต์คันแรกที่ใช้แดชบอร์ดแบบแผงวงจร ซึ่งถือเป็นต้นแบบของรถยนต์ในยุคปัจจุบัน และถูกผลิตขึ้นสองรุ่น คือ Mini Clubman Saloon และ Mini Clubman Estate
Mini Clubman ………… ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 584,000 คัน

Mini Van Mark I
ปีที่ผลิต ค.ศ.1960 – 1982
Mini Van รถอีกรุ่นของมินิที่มีลักษณะโดดเด่นชัดเจน คือ เป็นมินิที่มีความยาวมากกว่ารุ่นอื่น10 เซนติเมตร (จาก 2.04 เมตร เป็น 2.14 เมตร ) นอกจากจะมีความยาวของตัวรถที่เป็นพิเศษแล้วยัง เฟมประตูด้านหลังเป็นบาน เปิดออกในลักษณะคล้ายประตูของ“ตู้กับข้าว” เพื่อสะดวกในการขนส่ง แต่ด้านหลังของ Mini Van จะเป็นแบบปิดทึบเพื่อให้เข้ากับกฏหมายรถขนส่งของอังกฤษ เนื่องจากรถขนส่งของอังกฤษไม่ต้องเสียภาษี และนั่นคืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รถ Mini Van เป็นที่นิยมและขายดีมากขึ้น
ในปี ค.ศ.1978 Mini Van ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Mini 95 โดยเลข “95” นี้ มาจากคลาสความจุ 0.95 ตันนั่นเอง
ในประเทศไทยเองมีการนำรถรุ่นนี้เข้ามา เมื่อบริษัท เลย์-ไทย ได้สั่ง Mini Van ตู้ทึบ มาขายให้กับบริษัทใหญ่ๆ เพื่อใช้เป็น รถธุรการ และรถส่งเอกสาร เช่น ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น
Mini Van ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 521,500 คัน

Mini Pick Up Mark I
ปีที่ผลิต ค.ศ.1961- 1982
Mini Pick Up นับเป็นรถมินิรุ่นหายากอีกรุ่นหนึ่งในปัจจุบัน เนื่องด้วยจำนวนการผลิตที่ไม่มาก ลักษณะโดย ทั่วไปของ Mini Pick Up จะคล้ายกับ Mini Van คือ มีความยาวของตัวรถ 2.14 เมตร และไม่มีหน้ากระจัง โครเมียม แต่ส่วนที่ต่างกันของรถทั้งสองรุ่น คือ ส่วนด้านหลังของรถ โดยด้านหลังของ Mini Pick up จะถูกเปิดออกเป็นกระบะท้ายพื้นเรียบที่ฝาท้ายสามารถเปิดลงเพื่อความสะดวกในการขนสัมภาระ
ในปี 1978 Mini Pick Up ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Mini 95 เหมือนกับ Mini Van ส่วนเลข “ 95” นั้นก็มาจาก คลาสความจุ 0.95 ตัน ของรถนั่นเอง
Mini Pick Up ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 58,000 คัน

Mini Moke
ปีที่ผลิต ค.ศ.1964 -1989
Mini Moke รถสไตล์จี๊ปพิกัดเบา ถูกผลิตขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกิจการทหารโดยมีพื้นฐานมาจาก Austin Mini แต่ด้วยความสูงของรถอันเป็นข้อจำกัดในการขับแบบออฟโรด จึงเป็นเหตุ Mini Moke ไม่ค่อยเป็นที่นิยม ในวงการทหารเท่าที่ควร
แต่ Mini Moke กลับมาได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนทั่วไป ในปี ค.ศ.1967 เมื่อได้ร่วมแสดงละครทีวีซีรี่ย์ ของอังกฤษเรื่อง The Prisoner จนทำให้บริษัท British Leyland Motor ต้องนำกลับมาผลิตใหม่ในปี ค.ศ.1968
ด้วยดีไซน์ที่ไม่เหมือนใครทำให้ Mini Moke ได้รับความนิยมในต่างประเทศ โดยเริ่มมีการผลิตที่ประเทศ ออสเตรเลีย และเพิ่มความแรงด้วยเครื่อง 998 cc กับล้อขนาด 12 นิ้ว และปรับที่นั่งให้สบายขึ้นกว่ารุ่นแรก ซึ่งส่งผลให้ Mini Moke เป็นที่นิยมอย่างสูงสุดในประเทศออสเตรเลีย และมีการออกรุ่นอื่นตามมา ในขณะที่เขตปกครองพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่าง มาเก๊า ก็ได้นำ Mini Moke มาใช้เป็นรถขนส่งตำรวจมาเก๊า และรูปลักษณ์ที่ดูเหมาะกับบรรยากาศชายทะเลของมินิสไตล์จี๊ปรุ่นนี้ ก็ทำให้ผู้คนบนเกาะบาร์เบโดสนำ Mini Moke มาใช้เป็นรถเช่ายอดนิยมบนเกาะอย่างแพร่หลาย
Mini Moke ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 50,000 คัน
ข้อมูลที่มา : มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย, wikipedia
Mini Mark IV
ปีที่ผลิต ค.ศ. 1976-1984
รถมินิรุ่น Mk4 เริ่มผลิตออกมาจำหน่ายในปี 1976 โดยมีสิ่งที่ปรับเปลี่ยนพอจะสังเกตุได้แก่ น๊อตยึดคานหน้าเป็นตัวใหญ่ด้านละตัว กระจกไล่ฝ้าด้านหลัง, ไฟฉุกเฉิน, ยางเรเดียล, แผงสวิตซ์ไฟใหม่และ แป้นคันเร่ง เบรค คลัซ ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตลอดการผลิต
รถมินิรุ่น Mini 1000 Special เป็นรุ่นแรกของโรงงานที่ผลิตแบบ Limited Edition (LE) model ซึ่งผลิตเป็นสีเขียวและขาวพร้อมด้วยเบาะนั่งเป็นแถบริ้วและขลิบตรงเบาะนั่ง
ในปี 1977, ไฟถอยหลัง, เบาะนั่งแบบปรับเอนได้, กระจกมองหลังแบบปรับได้ อุปกรณ์เหล่านี้ถูกเพิ่มเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถมินิ การฉลองครบรอบ 20 ปี เมื่อปี 1979 มีการผลิตมินิรุ่น 1100 Special LE ออกจำหน่าย พร้อมกับการวางแผนของ BL ที่จะเลิกการผลิตรถมินิในปี 1982 แต่แล้วก็มีการทบทวนแผนดังกล่าวใหม่ จนกระทั่งคลอด มินิ รุ่น Mayfair ออกมาเมื่อปี 1982
ระหว่างนั้น ปี 1980 บริษัท BL ได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นชื่อ HL และเปลี่ยนเป็น HLE อีกครั้งในปี 1982
Mini Mark V
ปีที่ผลิต ค.ศ. 1984-1991
รถมินิรุ่น Mk5 เริ่มผลิตออกมาจำหน่ายในปี 1984 ด้วยมาตรฐานใหม่ล้อขนาด 12 นิ้ว, Disc Brakes ล้อหน้า และซุ้มล้อพลาสติกเพิ่มมาจากเดิม ซึ่งกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานตลอดการผลิต และถือเป็นยุคทองของรถมินิแบบ Limited Editions โดยมีไม่น้อยกว่า 20 แบบใน 7 ปี พร้อมกับการเปลี่ยนชื่อบริษัท เป็น Austin Rover Group และกลายเป็น Rover Group ในเวลาต่อมา
ในปี 1985 รถมินิรุ่น City ย้ายหน้าปัดไมล์จากตรงกลางมาอยู่ด้านคนขับ ขณะเดียวกันรุ่น Mayfair มีการเพิ่มวัดรอบเข้าไป ปีต่อมา มินิ ฉลองการผลิตครบ 5,000,000 คันพร้อมกับฉลองวันเกิดครบรอบอายุ 80 ปี ของเซอร์ เอล็ค ผู้ให้กำเนิดมินิ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงเมื่อปี 1988
รถมินิตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นไปจะมีเข็มขัดนิรภัยเบาะหลังและหม้อลมเบรกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ขณะเดียวกันมินิรุ่น City เพิ่มพนักพิงศรีษะเบาะหน้าและรุ่น Mayfairเพิ่มวิทยุเทป ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนแง่การดำเนินธุรกิจ ผู้บริหารตกลงขายบริษัท Rover Group ให้กับบริษัท British Aerospace ปีถัดมามีการจัดงานฉลองอายุครบ 30 ปีของมินิที่ Silverstone
สำหรับปี 1990 รถมินิรุ่น Flame Red และ Racing Green ถูกผลิตออกมาจำหน่าย โดยมีล้อเป็น Minilite-Style Alloys และมีการเปลี่ยนแปลงระยะเข้าเกียร์ใหม่เพื่ออัตราเร่งที่ดีขึ้น ซึ่งทั้งสองรุ่นจะมีหลังคาเป็นแบบตารางหมากรุกสีขาวดำ (Check Mate) และในแบบ Studio 2
ขณะที่รถมินิรุ่น Cooper ถูกนำกลับมาผลิตใหม่ในรูปแบบ Limited Edition จำนวน 1,000 คัน (61 แรงม้า 1,275cc คาร์บูเรเตอร์) ซึ่งจัดสร้างโดย Rover Special Products (RSP)
Mini Mark VI
ปีที่ผลิต ค.ศ. 1991-1996
มินิ Mk6 เป็นครั้งแรกของการเปลี่ยนแปลงระบบเครื่องยนต์จากคาร์บูเรเตอร์หันมาคบกับหัวฉีด ขนาดความจุ 1,275 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 63 แรงม้า ซึ่งจะมาพร้อมกับการเปลี่ยนล้อเป็นขนาด 13 นิ้ว และผลิตโดยบริษัท โรเวอร์ โดยเริ่มจำหน่ายเมื่อปี 1991 ในหลายรุ่นย่อย ต่อมาในปี 1992 เพิ่มรุ่นมีซันรูฟแบบผ้าใบเปิดปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมกับสำนักแต่ง จอห์น คูเปอร์ การาจ ได้รับเลือกเป็นตัวแทนจำหน่ายรถมินิที่มีชุดแต่งอย่างเป็นทางการ
ปีถัดมา มินิถูกลดจำนวนผลิตลงต่ำกว่า 21,000 คัน โดยยังคงความหลากหลายรุ่นเอาไว้ เช่น รุ่น Cabriolet ถูกผลิตออกมาจำหน่ายอีกครั้งด้วย และล้อขนาด 12 นิ้ว, รุ่น Rio, รุ่น Tahiti, รุ่น Mayfair และรุ่น Cooper มีอุปกรณ์ Standard Alarm และแผงหน้าปัดลายไม้เป็นอุปกรณ์เสริม
ในปี 1994 ตำนานบทสุดท้ายของมินิ ดั้งเดิม ก็มาถึงเมื่อบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู เทคโอเวอร์บริษัท Rover Group เจ้าของแบรนด์มินิ และในปีถัดมา บีเอ็มดับเบิลยู เริ่มโครงการพัฒนามินิ ใหม่ขึ้น โดยยังคงมีรถรุ่นต่างๆ ออกจำหน่ายเหมือนเดิม และรุ่นพิเศษเช่น Cooper Monte Carlo ถูกผลิตออกมาจำหน่าย เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีที่ชนะการแข่งขันที่ Monte Carlo
Mini Mark VII
ปีที่ผลิต ค.ศ. 1996-2000
รถมินิรุ่น Mk7 ถือเป็นรถมินิรุ่นสุดท้ายตามแบบฉบับดั้งเดิม ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นรถมินิ ใหม่ในแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยูโดยเริ่มผลิตออกจำหน่ายในปี 1996 สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายรายการเช่น หัวฉีดแบบ Twin-Point, อัตราทดเกียร์ 4 สูงขึ้น, ถุงลมนิรภัยตำแหน่งคนขับ, คานกันกระแทกด้านข้าง, ระบบป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก, ปรับปรุงเบาะนั่งด้านหน้า, ตัวยึดหม้อน้ำด้านหน้าและอุปกรณ์เสริม Sportspack
รถมินิคลาสสิครุ่นใหม่ที่เป็นแบบ non-Cooper ถูกผลิตออกมาจำหน่ายเมื่อปี 1997 ขณะที่ รุ่น Mayfair ถูกหยุดการผลิต ต่อมาปี 1998 รถมินิรุ่น Paul Smith ถูกผลิตออกมาจำหน่าย และในปี 1999 มินิรุ่น 40, Cooper S Works Touring/5 Sport และ John Cooper ถูกผลิตออกมาจำหน่าย พร้อมกับมีการจัดงานฉลองรถมินิอายุครบ 40 ปีที่ Silverstone
เข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม ปี 2000 บีเอ็มดับเบิลยูขายบริษัท Rover ให้กับสมาคม Phoenix แต่ยังเก็บลิขสิทธิ์ชื่อของมินิ (Mini) ไว้ พร้อมกับยุติการผลิตรถมินิซึ่งรถมินิรุ่นสุดท้ายคือรุ่น Cooper Sport 500 ได้ออกมาจากสายการผลิตจาก Longbridge (No. 5,387,862)
Mini Mark III / IV / V / VI และ VII ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 2,050,000 คัน
Mini Clubman
ปีที่ผลิต ค.ศ.1969 - 1980
หลังจากที่มินิประสบความสำเร็จกว่าทศวรรษ บริษัท British Leyland Motor จึงตัดสินใจเพิ่มความหรูหรา และความแรงของรถ เพื่อขยายแบรนด์เข้าสู่ตลาดบน โดยผลิตรถรุ่น Mini Clubman และ Mini 1275GT ขึ้น โดยเชิญศิลปิน ดีไซน์เนอร์ ชื่อดังในยุคนั้น, Ford Roy Haynes มาเป็นผู้ออกแบบมินิรุ่นนี้ ซึ่งตั้งใจให้เป็นรถที่มี รูปลักษณ์เปลี่ยนไป โดย Mini รุ่นนี้ถูกเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาจาก ‘หน้ากบ’ เป็น ‘หน้าเหลี่ยม’
Mini Clubman เป็นรถยนต์คันแรกที่ใช้แดชบอร์ดแบบแผงวงจร ซึ่งถือเป็นต้นแบบของรถยนต์ในยุคปัจจุบัน และถูกผลิตขึ้นสองรุ่น คือ Mini Clubman Saloon และ Mini Clubman Estate
Mini Clubman ………… ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 584,000 คัน
Mini Van Mark I
ปีที่ผลิต ค.ศ.1960 – 1982
Mini Van รถอีกรุ่นของมินิที่มีลักษณะโดดเด่นชัดเจน คือ เป็นมินิที่มีความยาวมากกว่ารุ่นอื่น10 เซนติเมตร (จาก 2.04 เมตร เป็น 2.14 เมตร ) นอกจากจะมีความยาวของตัวรถที่เป็นพิเศษแล้วยัง เฟมประตูด้านหลังเป็นบาน เปิดออกในลักษณะคล้ายประตูของ“ตู้กับข้าว” เพื่อสะดวกในการขนส่ง แต่ด้านหลังของ Mini Van จะเป็นแบบปิดทึบเพื่อให้เข้ากับกฏหมายรถขนส่งของอังกฤษ เนื่องจากรถขนส่งของอังกฤษไม่ต้องเสียภาษี และนั่นคืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รถ Mini Van เป็นที่นิยมและขายดีมากขึ้น
ในปี ค.ศ.1978 Mini Van ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Mini 95 โดยเลข “95” นี้ มาจากคลาสความจุ 0.95 ตันนั่นเอง
ในประเทศไทยเองมีการนำรถรุ่นนี้เข้ามา เมื่อบริษัท เลย์-ไทย ได้สั่ง Mini Van ตู้ทึบ มาขายให้กับบริษัทใหญ่ๆ เพื่อใช้เป็น รถธุรการ และรถส่งเอกสาร เช่น ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น
Mini Van ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 521,500 คัน
Mini Pick Up Mark I
ปีที่ผลิต ค.ศ.1961- 1982
Mini Pick Up นับเป็นรถมินิรุ่นหายากอีกรุ่นหนึ่งในปัจจุบัน เนื่องด้วยจำนวนการผลิตที่ไม่มาก ลักษณะโดย ทั่วไปของ Mini Pick Up จะคล้ายกับ Mini Van คือ มีความยาวของตัวรถ 2.14 เมตร และไม่มีหน้ากระจัง โครเมียม แต่ส่วนที่ต่างกันของรถทั้งสองรุ่น คือ ส่วนด้านหลังของรถ โดยด้านหลังของ Mini Pick up จะถูกเปิดออกเป็นกระบะท้ายพื้นเรียบที่ฝาท้ายสามารถเปิดลงเพื่อความสะดวกในการขนสัมภาระ
ในปี 1978 Mini Pick Up ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Mini 95 เหมือนกับ Mini Van ส่วนเลข “ 95” นั้นก็มาจาก คลาสความจุ 0.95 ตัน ของรถนั่นเอง
Mini Pick Up ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 58,000 คัน
Mini Moke
ปีที่ผลิต ค.ศ.1964 -1989
Mini Moke รถสไตล์จี๊ปพิกัดเบา ถูกผลิตขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกิจการทหารโดยมีพื้นฐานมาจาก Austin Mini แต่ด้วยความสูงของรถอันเป็นข้อจำกัดในการขับแบบออฟโรด จึงเป็นเหตุ Mini Moke ไม่ค่อยเป็นที่นิยม ในวงการทหารเท่าที่ควร
แต่ Mini Moke กลับมาได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนทั่วไป ในปี ค.ศ.1967 เมื่อได้ร่วมแสดงละครทีวีซีรี่ย์ ของอังกฤษเรื่อง The Prisoner จนทำให้บริษัท British Leyland Motor ต้องนำกลับมาผลิตใหม่ในปี ค.ศ.1968
ด้วยดีไซน์ที่ไม่เหมือนใครทำให้ Mini Moke ได้รับความนิยมในต่างประเทศ โดยเริ่มมีการผลิตที่ประเทศ ออสเตรเลีย และเพิ่มความแรงด้วยเครื่อง 998 cc กับล้อขนาด 12 นิ้ว และปรับที่นั่งให้สบายขึ้นกว่ารุ่นแรก ซึ่งส่งผลให้ Mini Moke เป็นที่นิยมอย่างสูงสุดในประเทศออสเตรเลีย และมีการออกรุ่นอื่นตามมา ในขณะที่เขตปกครองพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่าง มาเก๊า ก็ได้นำ Mini Moke มาใช้เป็นรถขนส่งตำรวจมาเก๊า และรูปลักษณ์ที่ดูเหมาะกับบรรยากาศชายทะเลของมินิสไตล์จี๊ปรุ่นนี้ ก็ทำให้ผู้คนบนเกาะบาร์เบโดสนำ Mini Moke มาใช้เป็นรถเช่ายอดนิยมบนเกาะอย่างแพร่หลาย
Mini Moke ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 50,000 คัน
ข้อมูลที่มา : มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย, wikipedia