xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนไลน์รำลึก "มินิ" ฉลองครบ 50 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปี 2009 กลายเป็นปีที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดปีหนึ่งของ “มินิ” รถยนต์จากประเทศอังกฤษ ด้วยโอกาสในการฉลองครบรอบ 50 ปี การถือกำเนิดขึ้นของ “รถเล็กที่ยิ่งใหญ่” นับจากครั้งแรกที่เปิดตัวในปี 1959 จากผลพวงของวิกฤษน้ำมันแพงและเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ส่งผลให้ “เซอร์ เอล็ก อิซิสโกนิส” (Alec Issigonis) ก่อกำเนิดรถยนต์ที่ตอบสนองความต้องการด้านการใช้พลังงานอย่างประหยัดขึ้นมาบนโลกใบนี้ และสามารถยืนยงทำตลาดมาจนครบอายุเทียบเท่าวัยกลางคน โดยคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้อย่างน่าทึ่ง
ภาพการเปิดตัวกของ Austin Seven
ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง ขอนำเสนอเรื่องราวและประวัติรถมินิ แต่ละรุ่นว่า เป็นอย่างไรตลอดช่วงอายุการทำตลาด โดยจะเป็นรถรุ่นหลักๆ และรุ่นพิเศษเพียงบางรุ่น เพื่อความกระชับและไม่สับสนในการนำเสนอข้อมูล
morris minor mini 1959
Austin Seven Mark I & Morris Minor Mark I
ปีที่ผลิต ค.ศ.1959 -1967

ปี ค.ศ. 1959 Austin Seven Mark I มินิคันแรกของโลก ปรากฏสู่สายตาสาธารณะชน โดยบริษัท British Motor Corporation (BMC) จากผลงานการดีไซน์ของ Sir Alec Issigonis ภายใต้สองแบรนด์คือ Austin Seven และ Morris Minor

มินิกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยานยนต์ที่สามารถตอบโจทย์เรื่องปัญหาเศรษฐกิจจากวิกฤติน้ำมัน ได้เป็นอย่างดี นั่นคือความเป็นรถขนาดเล็กที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 4 คน พร้อมที่สำหรับเก็บสัมภาระ อีกบางส่วนเพื่อนำครอบครัวไปเที่ยวในวันสุดสัปดาห์ได้อย่างสะดวกสบาย

Austin Sevent Mark I เป็นรถคันแรกของโลกที่วางเครื่องยนต์ตามขวาง ขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องยนต์ 848 ซีซี กำลัง 34 แรงม้า ออกมาจำหน่ายเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1959 ราคาขายครั้งแรกอยู่ที่ 496 ปอนด์ กับคอนเซปมินิมอลลิซึ่ม คือ กระจกบานเลื่อนรอยเชื่อม ตัวถังพับออกด้าน
ด้านท้าย ของ Mini Mark I (Mk1)
ชื่อของมินิถูกใช้ครั้งแรกในปี 1961 จากความบังเอิญ เนื่องจากคำว่า Minor ของ Morris Minor แปลว่า “เล็ก” ในภาษาละติน เมื่อมินิออกขายที่ประเทศเดนมาร์ค จึงถูกเรียกว่ามินิจนกลายเป็นชื่อของมินิมาจนถึงทุกวันนี้

สำหรับรุ่น Mini Cooper เริ่มมีการผลิตด้วยขนาดเครื่องยนต์ 997cc ในปี 1961 ส่วนรุ่น Cooper S อวดโฉมเมื่อปี 1963 กับเครื่องยนต์ขนาด 1071CC
ในปี 1964 รุ่น Cooper ขนาด 997cc ถูกเปลี่ยนไปใช้เครื่อง 998cc และรุ่น Cooper S เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ 970cc และ 1275cc ยกเลิกการใช้เครื่อง 1071cc พร้อมด้วยการนำ ระบบกันกระเทือนแบบ Hydrolastic มาใช้กับรถมินิที่นำออกมาจำหน่ายใหม่ทุกคัน

รถมินิคันที่ 1,000,000 ถูกขับออกจากโรงงานผลิตที่ Longbridge โดยผู้คิดค้น Alec Issigonis เมื่อปี 1965

Mini Mark I …………… ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 1,190,000 คัน
morris cooper MK II 1969
Austin Mini Mark II
ปีที่ผลิต ค.ศ.1967 - 1969


การรวมตัวระหว่างบริษัท British Motor Corporation (BMC) และ Standard Triumph (บริษัทที่ผลิตราชรถ ให้กษัตริย์จอร์จที่ 5 ของอังกฤษ) โดยเปลี่ยนชื่อเป็น British Leyland Motor เกิดขึ้นจากความพยายามต้องการ จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ให้กับ Austin Seven Mark I แต่เนื่องจากความแปรปรวนของการรวมตัวทำให้ไม่ได้เกิด ความเปลี่ยนแปลงด้านรูปลักษณ์มากนัก Austin Mini Mark II จึงเป็นเพียงแค่การแก้ไขดีไซน์เล็กน้อยตัวรถ

สำหรับ รถมินิ Mark II ถูกนำมาเปิดตัวในงาน London Motor Show ในปี 1967 ได้มีการเปลี่ยนแปลงจาก Mark I หลายๆ ส่วน เช่น กระจกด้านหลังที่ใหญ่ขึ้น ชุดไฟแบบใหม่ กระจังหน้าที่ใหญ่ขึ้นเป็นต้น แต่จะมีจุดสังเกตสำคัญคือ การเปลี่ยนไฟท้ายใหม่ เป็นแบบสี่เหลี่ยมและคงรูปแบบดังกล่าวมาอย่างยาวนานในรุ่นอื่นๆกว่า 3 ทศวรรษ อีกทั้งยังมีการปรับปรุงวงเลี้ยวของรถมินิจาก 31 ฟุตให้เหลือเพียง 28 ฟุตเท่านั้น รถมินิ Mark II มีอยู่ 2 รุ่นด้วยกัน คือ Standard กับ Super Deluxe
ไฟท้ายใหม่ทรงสี่เหลี่ยม ของ Mk2
จุดหักเหสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Austin Mini Mark II คือ การร่วมเข้าฉากแอ๊คชั่นในภาพยนตร์เรื่อง Italian Job คู่กับ ไมเคิล เคน และเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในปี 1969 Mini Mark II ก็ได้กลายเป็นที่ กล่าวขานถึงสมรรถนะ และความเท่ห์ จนมินิได้กลายเป็นรถในฝันของวัยรุ่นในยุคนั้น

Austin Mini Mark II …………… ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 429,000 คัน
austin mini cooper s mk II 1968
Austin Mini Cooper S Mark II
ปีที่ผลิต ค.ศ.1968 – 1971

ตำนานของ Austin Mini Cooper S Mark II เริ่มต้นจากนักแต่งรถเอฟวันชื่อดังที่ชอบความท้าทาย “John Cooper” เพื่อนสนิทของ Sir Alec Issigonis โดย John Cooper เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านการสร้างแชสซี ของรถมินิต้นแบบ และยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนา มินิให้กลายเป็นรถเล็กที่แรง เพื่อสร้างทฤษฎีใหม่ที่ว่า “รถที่วิ่งได้เร็ว ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องเป็นรถแรง เพราะว่าถนนไม่ได้มีแต่ทางตรง ….หากแต่เป็นรถที่ปราดเปรียวและเข้าโค้งได้ดี”

John Cooper เริ่มจากการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์เป็น 55 แรงม้า คาร์บูเรเตอร์คู่ เพิ่มความเร็วในการเข้าโค้ง ด้วยเกียร์แบบอัตราทดสั้น (Close Ratio) และเปลี่ยนเป็นระบบดิสก์เบรกเพื่อให้เบรกใกล้โค้งได้มากที่สุด ซึ่งปรากฏตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1961 กับการแข่งแรลลี่มอนติคาร์โล ภายใต้ชื่อ Mini Cooper

และสองปีถัดมา John Cooper ได้เปิดตัวรุ่น Cooper S ซึ่งถูกพัฒนากำลังของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 70แรงม้าและในครั้งนี้ชื่อของมินิได้ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์โลกในตำแหน่งผู้ชนะในการแข่งขันแรลลี่มอนติคาร์โลถึง 4 ปี ติดต่อกันตั้งแต่ปี 1964-1967

Austin Mini Cooper S Mark II …………… ถูกผลิตออกมาขายจำนวนทั้งสิ้น 19,300 คัน
Mini Mk III
Mini Mark III
ปีที่ผลิต ค.ศ.1969 - 1976


ปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในปี 1969 คือ “มินิ” ได้เปลี่ยนตัวเองจาก “รุ่น” กลายเป็น “แบรนด์” และมีตรา สัญลักษณ์ของตัวเอง ซึ่ง Mini Mark III นับเป็นมินิรุ่นแรกที่เปลี่ยนจากสัญลักษณ์ตัวแอลของ British Leyland Motor เป็นตราสัญลักษณ์มินิ และ Mini Mark III นี้ยังมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปตามความจุของเครื่องยนต์ เช่น Mini 850 , Mini 1000 , Mini 1300 เป็นต้น

สำหรับตัวถังรถมินิรุ่น Mk3 ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจากเดิมมาก มีการยกเลิกกิ๊ปยึดประตูรถด้านนอก ย้ายมาอยู่ด้านในแทน, ยกเลิกกระจกประตูบานสไลด์ และยกเลิกชื่อ Cooper สำหรับรถมินิอีกด้วย

ช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 บริษัท British Leyland Motor รวมกิจการด้านยานยนต์กับ Rover และ Jaguar ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงรูปลักษณ์ และรายละเอียดปลีกย่อยทางวิศวกรรม เพื่อความทันสมัย ทัดเทียมกับรถยนต์ในตลาด ซึ่งรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดปลีกย่อยทางวิศวกรรมนี้ เรียกว่า Mark โดยมีตั้งแต่ Mini Mark III จนถึง Mini Mark VII

ต่อมาในปี 1971, ชื่อของรถมินิรุ่น Cooper และ Cooper S ได้หยุดการผลิต รถมินิถูกขายดีที่สุดในปีนี้โดยขายได้ถึง 318,000 คัน แต่กลับมีเรื่องน่าเศร้าคือ Issigonis ได้ลาออกจากบริษัท BL และระบบกันสะเทือนแบบ Hydrolastic ก็ถูกยกเลิกเช่นกัน จากนั้นในปี 1974, ได้มีการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถมินิและผู้ขับขี่รถมินิรุ่น 850 ได้เครื่องทำความร้อน (Heater) โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม

โปรดติดตามตอนต่อไป จาก Mark IV จนถึง New Mini

หมายเหตุ : ข้อมูลจาก บีเอ็มดับเบิลยู , มินิ ประเทศไทย และ wikipedia เรียบเรียงใหม่โดย ทีมงาน ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง สำหรับชื่อการเรียก Austin หรือ Morris สามารถใช้คำว่า Mini แทนได้ ขอเพียงให้สื่อสารเข้าใจตรงกัน ส่วนคำว่า Mark จะใช้ตัวย่อว่า Mk ก็ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น