ตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา 3 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ต่างพร้อมใจแนะนำประธานใหม่ ซึ่งแต่ละคนได้แสดงวิสัยทัศน์ และแถลงทิศทางของบริษัทตนเอง รวมถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย... "ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง" ไล่เรียงนำเสนอข่าว และบทสัมภาษณ์ ตั้งแต่ “เคียวอิจิ ทานาดะ” จากโตโยต้า “อาซึชิ ฟูจิโมโตะ” ฮอนด้า และวันนี้ถึงคิวของ “โนบุยูกิ มูราฮาชิ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
สำหรับ“โนบุยูกิ มูราฮาชิ” มีหนึ่งดีกรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งยังเคยทำงานที่ ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ มาแล้ว ถึง สองวาระ คือ ช่วง พ.ศ. 2520-2527 และ 2534- 2538 จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ท่านประธานคนนี้สื่อสารภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ดังนั้นเมื่อบวกกับความสามารถและประสบการณ์ด้านการตลาด- การขาย อย่างโชกโชนแล้ว (เคยไปประจำทั้งออสเตรเลีย และหลายประเทศในยุโรป) จึงไม่มีเหตุผลที่ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น จะไม่ส่งชายคนนี้มาประจำประเทศไทย
- ภารกิจหลักที่ต้องทำหลังเข้ารับตำแหน่งใหม่
ต้องทำให้มิตซูบิชิขายดีขึ้น ระบบการขายและเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายต้องดีขึ้นกว่าปัจจุบัน ส่วนแบ่งการตลาดต้องเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งอย่างน้อยๆสิ้นปีนี้ต้องถึง 4% หรือมากกว่านั้น จากเดิมในปี 2551 ที่เรามีส่วนแบ่งการตลาดรวมเพียง 3.6% ขณะที่ยอดขายจะต้องเพิ่มจาก 19,000 คัน เป็น 23,700 คัน (นับตามปีงบประมาณ)
- แล้วจะทำอย่างไร
วันนี้ไม่มีทางลัดสำหรับมิตซูบิชิ ดังนั้นเราต้องทำงานหนักเพื่อให้ความพอใจสูงสุด และทำให้ลูกค้ามั่นใจในแบรนด์และโปรดักต์ ขณะเดียวกันต้องมีรถยนต์รุ่นใหม่ ที่ตรงกับความต้องการลูกค้า ในส่วนการบริการหลังการขายต้องมีประสิทธิภาพครบวงจร ทั้งการสำรองอะไหล่ หรือการให้ความสำคัญกับราคารถมือสอง
- แลนเซอร์ ใหม่
เราเตรียมเปิดตัว มิตซูบิชิ แลนเซอร์ โมเดลใหม่ ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งถือเป็นรุ่นที่เป็นความหวังของเราเช่นกัน โดยคาดว่ายอดขายช่วง 6 เดือนแรกหลังการเปิดตัวจะทำได้ 3,000 – 4,000 คัน อันจะส่งผลให้ยอดขายรวมเติบโตดังที่กล่าวมา
สำหรับ แลนเซอร์ ใหม่ (หน้าฉลาม) จะมาพร้อมเครื่องยนต์ 1.8 และ 2.0 ลิตร ขณะที่รุ่นโฉมปัจจุบันจะยังคงทำตลาดเอาไว้ในเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร และรุ่นซีเอ็นจี เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ผู้บริโภค ที่ต้องการความคุ้มค่า และส่วนหนึ่งเพื่อจะอุดช่องว่างในกลุ่มรถซับ-คอมแพกต์ ที่เรายังไม่มีรถทำตลาดนั่นเอง
- แล้วรุ่นโฉมปัจจุบันจะมีการปรับราคาลงมาหรือไม่
เรากำลังศึกษาอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้ราคาสามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่เป็นรถ ซับ-คอมแพกต์ได้
- สนใจเรื่องแก็สโซฮอล์ อี 85 หรือไม่
เราศึกษาเรื่อง อี85 อย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุน และเรื่องนี้จะต้องคุยให้จบก่อนการเปิดตัว แลนเซอร์ ใหม่ อย่างแน่นอน
- อีโคคาร์ของมิตซูบิชิ
อย่างที่ทราบว่าเราได้เข้าร่วมในโครงการนี้ และผ่านการอนุมัติเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากบีโอไอแล้ว ซึ่งเรายังดำเนินการตามกำหนดเดิมคือจะเปิดตัวช่วงปี 2553 – 2555
- ยังพอใจกับเงื่อนไขที่บีโอไอกำหนดหรือไม่
แน่นอนว่าในภาวะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกถดถอย หลายค่ายรถยนต์อาจกังวลเรื่องการผลิต ให้ได้ 100,000 คัน ในปีที่ 5 และถือเป็นความท้าทายของทุกบริษัท ซึ่งถ้ามีการผ่อนปรนโดยลดจำนวนผลิตดังกล่าวได้ก็ถือเป็นเรื่องดี อย่างไรก็ตามมิตซูชิเอง ยังมองว่า ตัวเลข 100,000 คัน นั้นอาจเหมาะสมอยู่แล้วในแง่ของการผลิตให้คุ้มต้นทุน ดังนั้นในเมื่อเรายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการผลิตชัดเจน จึงยังคงไม่มีเป้าหมายในการไปปรับลดเงื่อนไขใหม่
อย่างไรก็ตามถ้ารัฐบาลอย่างสนับสนุนให้รถยนต์นั่งขนาดเล็กเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวที่สอง(ต่อจากปิกอัพ) ควรที่จะสนับสนุนให้ตลาดในประเทศมีขยายตัวกว่านี้ ซึ่งการลดภาษีสรรพสามิตจะช่วยให้รถราคาถูกลงส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้น
“เรามองว่าโครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่เก็บกับรถยนต์นั่งยังสูงไปเมื่อเทียบกับต่างประเทศ หรือปิกอัพในประเทศ ดังนั้นหากรัฐบาลอยากให้เก๋งขยายตัว ควรจะมีการลดภาษีสรรพสามิตให้ต่ำลง เช่นเดียวกับปิกอัพที่เสียภาษีในอัตราเพียง 3% หรืออย่างอีโคคาร์ที่ปัจจุบัน เก็บ 17% ยังไม่น่าจูงใจเท่าไหร่ ดังนั้นถ้ารัฐบาลจะสนับสนุนควรเริ่มที่ลดภาษีอีโคคาร์ก่อน”
- สถานการณ์การผลิตและส่งออก
ต้นปีเราลดกำลังการผลิตประมาณ 40% และปลดพนักงานชั่วคราวไป 1,400 คน แต่เมื่อตลาดกำลังมีแนวโน้มดีขึ้น เราก็เตรียมเพิ่มกำลังผลิต โดยโรงงานแห่งที่หนึ่งจะเริ่มทำงาน 2 กะ ตั้งแต่ตุลาคมนี้ ขณะเดียวกันจะจ้างพนักงานกลับมาอีก ประมาณ 1,000 คน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้
สำหรับเป้าส่งออกปี 2552 (มิตซูบิชินับเป็นปีงบประมาณ คือเริ่มจากเดือน เมษายน 2552 – มีนาคม 2553) เราตั้งไว้ที่ 1.16 แสนคัน ลดลงประมาณ 50,000 คัน เมื่อเทียบกับปี 2551
สำหรับ“โนบุยูกิ มูราฮาชิ” มีหนึ่งดีกรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งยังเคยทำงานที่ ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ มาแล้ว ถึง สองวาระ คือ ช่วง พ.ศ. 2520-2527 และ 2534- 2538 จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ท่านประธานคนนี้สื่อสารภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ดังนั้นเมื่อบวกกับความสามารถและประสบการณ์ด้านการตลาด- การขาย อย่างโชกโชนแล้ว (เคยไปประจำทั้งออสเตรเลีย และหลายประเทศในยุโรป) จึงไม่มีเหตุผลที่ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น จะไม่ส่งชายคนนี้มาประจำประเทศไทย
- ภารกิจหลักที่ต้องทำหลังเข้ารับตำแหน่งใหม่
ต้องทำให้มิตซูบิชิขายดีขึ้น ระบบการขายและเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายต้องดีขึ้นกว่าปัจจุบัน ส่วนแบ่งการตลาดต้องเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งอย่างน้อยๆสิ้นปีนี้ต้องถึง 4% หรือมากกว่านั้น จากเดิมในปี 2551 ที่เรามีส่วนแบ่งการตลาดรวมเพียง 3.6% ขณะที่ยอดขายจะต้องเพิ่มจาก 19,000 คัน เป็น 23,700 คัน (นับตามปีงบประมาณ)
- แล้วจะทำอย่างไร
วันนี้ไม่มีทางลัดสำหรับมิตซูบิชิ ดังนั้นเราต้องทำงานหนักเพื่อให้ความพอใจสูงสุด และทำให้ลูกค้ามั่นใจในแบรนด์และโปรดักต์ ขณะเดียวกันต้องมีรถยนต์รุ่นใหม่ ที่ตรงกับความต้องการลูกค้า ในส่วนการบริการหลังการขายต้องมีประสิทธิภาพครบวงจร ทั้งการสำรองอะไหล่ หรือการให้ความสำคัญกับราคารถมือสอง
- แลนเซอร์ ใหม่
เราเตรียมเปิดตัว มิตซูบิชิ แลนเซอร์ โมเดลใหม่ ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งถือเป็นรุ่นที่เป็นความหวังของเราเช่นกัน โดยคาดว่ายอดขายช่วง 6 เดือนแรกหลังการเปิดตัวจะทำได้ 3,000 – 4,000 คัน อันจะส่งผลให้ยอดขายรวมเติบโตดังที่กล่าวมา
สำหรับ แลนเซอร์ ใหม่ (หน้าฉลาม) จะมาพร้อมเครื่องยนต์ 1.8 และ 2.0 ลิตร ขณะที่รุ่นโฉมปัจจุบันจะยังคงทำตลาดเอาไว้ในเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร และรุ่นซีเอ็นจี เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ผู้บริโภค ที่ต้องการความคุ้มค่า และส่วนหนึ่งเพื่อจะอุดช่องว่างในกลุ่มรถซับ-คอมแพกต์ ที่เรายังไม่มีรถทำตลาดนั่นเอง
- แล้วรุ่นโฉมปัจจุบันจะมีการปรับราคาลงมาหรือไม่
เรากำลังศึกษาอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้ราคาสามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่เป็นรถ ซับ-คอมแพกต์ได้
- สนใจเรื่องแก็สโซฮอล์ อี 85 หรือไม่
เราศึกษาเรื่อง อี85 อย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุน และเรื่องนี้จะต้องคุยให้จบก่อนการเปิดตัว แลนเซอร์ ใหม่ อย่างแน่นอน
- อีโคคาร์ของมิตซูบิชิ
อย่างที่ทราบว่าเราได้เข้าร่วมในโครงการนี้ และผ่านการอนุมัติเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากบีโอไอแล้ว ซึ่งเรายังดำเนินการตามกำหนดเดิมคือจะเปิดตัวช่วงปี 2553 – 2555
- ยังพอใจกับเงื่อนไขที่บีโอไอกำหนดหรือไม่
แน่นอนว่าในภาวะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกถดถอย หลายค่ายรถยนต์อาจกังวลเรื่องการผลิต ให้ได้ 100,000 คัน ในปีที่ 5 และถือเป็นความท้าทายของทุกบริษัท ซึ่งถ้ามีการผ่อนปรนโดยลดจำนวนผลิตดังกล่าวได้ก็ถือเป็นเรื่องดี อย่างไรก็ตามมิตซูชิเอง ยังมองว่า ตัวเลข 100,000 คัน นั้นอาจเหมาะสมอยู่แล้วในแง่ของการผลิตให้คุ้มต้นทุน ดังนั้นในเมื่อเรายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับการผลิตชัดเจน จึงยังคงไม่มีเป้าหมายในการไปปรับลดเงื่อนไขใหม่
อย่างไรก็ตามถ้ารัฐบาลอย่างสนับสนุนให้รถยนต์นั่งขนาดเล็กเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวที่สอง(ต่อจากปิกอัพ) ควรที่จะสนับสนุนให้ตลาดในประเทศมีขยายตัวกว่านี้ ซึ่งการลดภาษีสรรพสามิตจะช่วยให้รถราคาถูกลงส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้น
“เรามองว่าโครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่เก็บกับรถยนต์นั่งยังสูงไปเมื่อเทียบกับต่างประเทศ หรือปิกอัพในประเทศ ดังนั้นหากรัฐบาลอยากให้เก๋งขยายตัว ควรจะมีการลดภาษีสรรพสามิตให้ต่ำลง เช่นเดียวกับปิกอัพที่เสียภาษีในอัตราเพียง 3% หรืออย่างอีโคคาร์ที่ปัจจุบัน เก็บ 17% ยังไม่น่าจูงใจเท่าไหร่ ดังนั้นถ้ารัฐบาลจะสนับสนุนควรเริ่มที่ลดภาษีอีโคคาร์ก่อน”
- สถานการณ์การผลิตและส่งออก
ต้นปีเราลดกำลังการผลิตประมาณ 40% และปลดพนักงานชั่วคราวไป 1,400 คน แต่เมื่อตลาดกำลังมีแนวโน้มดีขึ้น เราก็เตรียมเพิ่มกำลังผลิต โดยโรงงานแห่งที่หนึ่งจะเริ่มทำงาน 2 กะ ตั้งแต่ตุลาคมนี้ ขณะเดียวกันจะจ้างพนักงานกลับมาอีก ประมาณ 1,000 คน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้
สำหรับเป้าส่งออกปี 2552 (มิตซูบิชินับเป็นปีงบประมาณ คือเริ่มจากเดือน เมษายน 2552 – มีนาคม 2553) เราตั้งไว้ที่ 1.16 แสนคัน ลดลงประมาณ 50,000 คัน เมื่อเทียบกับปี 2551