มาแน่! ถึงจะเลื่อนแผนเปิดตัวนิดหน่อยเป็นปลายปี สำหรับการปลุกสองแบรนด์ เฟียต-อัลฟ่า โรมิโอ ที่อยู่ในมือกลุ่มพระนครยนตรการของตระกูล จึงสงวนพรสุข เพื่อลุยตลาดไทยอีกครั้ง หลังจากจองบูธเรียบร้อยในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2009 จากเดิมกำหนดมาช่วงกลางปีนี้ โดยพระเอกเป็นซิตี้คาร์สไตล์เรโทร เฟียต 500 ถึงแม้จะเผยโฉมช้ากว่าตลาดโลกถึง 2 ปี และเกรย์ฯ นำเข้ามาฟันยอดขายไปแล้วเกือบปีครึ่ง แต่เชื่อมั่นรถยนต์จากตัวแทนขายเป็นทางการ และอุปกรณ์ที่แตกต่าง จะช่วยผลักดันยอดให้บรรลุตามโควต้า 100 คันได้ พร้อมกันนี้ยังควง อัลฟ่า มีตู สปอร์ตแฮทช์แบ็ก ที่แรงทั้งขุมพลังและราคามาเป็นอีกทางเลือก งานนี้ มินิ ที่ไร้คู่ชกพิกัดเดียวกันมานาน ถูกเปิดศึกท้าชนเสียแล้ว
ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายดีทีเดียว กับการทำตลาดรถยนต์ โปรตอน จากมาเลเซีย จนทำเอาเสี่ยๆ ทั้งหลายในตระกูล จึงสงวนพรสุข แห่งกลุ่มพระนครยนตรการ (PNA) ต่างดูมีความสุขยิ้มแย้มอิ่มเอิบ สวนสภาวะเศรษฐกิจดิ่งเหวเหลือเกิน แต่นั่นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น เพราะเมื่ออายุรถในตลาดเข้าสู่ปีที่ 4 ซึ่งถึงเวลาเข้าศูนย์บริการจริงๆ เสียที ตรงนั้นแหละจะเป็นบทพิสูจน์ ความกังขาของหลายฝ่ายที่มีมานานนับสิบปี และบ่งชี้ว่าจะประสบความสำเร็จแบบยั่งยืนหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม การตอบรับรถยนต์โปรตอนจากผู้บริโภคชาวไทย ทำให้กลุ่มพระนครยตรการเกิดความเชื่อมั่นและคึกคักอย่างมาก และส่งผลให้สองแบรนด์ เฟียต-อัลฟา โรมิโอ ที่ถืออยู่ในมือมานานหลายปี ถูกกลับมาปัดฝุ่นรุกตลาดจริงจังอีกครั้ง โดยเฉพาะแบรนด์ เฟียต ด้วยแล้ว แทบจะเก็บไส่ลิ้นชักไปเลย
ปลายปีนี้จะมีการนำรถยนต์เฟียตและอัลฟ่า โรมิโอ กลับมาทำตลาดอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยได้มีการจองบูธเพื่อแสดงรถยนต์ในงานมหกรรมยานยนต์ หรือมอเตอร์เอ็กซ์โป 2009 ภายใต้ชื่อแบรนด์เฟียต และอัลฟ่าฯ ซึ่งเป็นแยกออกมาจากบูธของโปรตอนชัดเจน
นั่นคือรายงานข่าวจากบริษัท ไทยเพรสทีจ ออโต้เซลส์ ในฐานะที่เป็นผู้จำหน่ายและนำเข้ารถยนต์อัลฟ่า โรมิโอ และเฟียตในประเทศไทย โดยเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มพระนครยนตรการ เช่นเดียวกับบริษัท พระนครออโตเซลส์ ผู้จำหน่ายรถยนต์และนำเข้ารถยนต์โปรตอนในไทย
อนึ่งเมื่อต้นปี ธวัชชัย จึงสงวนพรสุข ในฐานะผู้ดูแลรถยนต์ทั้งสามแบรนด์ ได้เปิดเผยกับ ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง ว่าประมาณกลางปี 2552 นี้ จะมีการทำตลาดรถยนต์เฟียตอย่างจริงจังอีกครั้ง และปลายปีจะมีการนำรถยนต์อัลฟ่า โรมิโอ รุ่นใหม่มาเปิดตัวเช่นกัน ส่วนเหตุผลที่ทั้งสองแบรนด์เงียบไปในช่วงหลังๆ เพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยมีโปรดักซ์เหมาะสมกับประเทศไทย
ดังนั้นจากข่าวคราวล่าสุด ไทยเพรสทีจฯ จะรุกตลาดอัลฟ่า โรมิโอ และเฟียตช่วงปลายปีนี้ จึงเป็นการเลื่อนไปจากแผนเดิมเล็กน้อย ส่วนเหตุผลตามรายงานข่าวระบุว่า การนำรถยนต์เข้ามาเปิดตัวทำตลาด ไม่ใช่ไทยเพรสทีจฯ จะกำหนดได้ทุกอย่าง เพราะต้องขึ้นอยู่กับทางบริษัทที่ประเทศอิตาลี่ด้วย โดยเฉพาะความพร้อมในการส่งรถมาให้ทำตลาด
เราขอนำเข้ารถและทำแผนการตลาด เสนอไปที่บริษัทแม่ในประเทศอิตาลี่ โดยรถยนต์ที่ต้องการทำตลาดในไทย เป็นรถยนต์เฟียต รุ่น500 ซึ่งกว่าจะได้ข้อสรุปและอนุมัติ เตรียมพร้อมรองรับการทำตลาดและบริการหลังการขาย รวมถึงส่งรถมายังเมืองไทย ย่อมใช้เวลาพอสมควร จากที่คาดไว้จะสามารถทำตลาดกลางปี จึงเลื่อนไปเป็นปลายปีนี้แทน โดยคาดว่าจะเปิดตัวก่อนงานมอเตอร์เอ็กซ์โปเล็กน้อย ส่วนอัลฟ่า โรมิโอ ยังคงเป็นไปตามแผน ในการขอนำเข้ารุ่นมีตู (Mi.To) มาทำตลาด หากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะเปิดตัวในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน
ส่วนรายละเอียดการทำตลาด ธวัชชัยเปิดเผยไว้ก่อนหน้านี้ว่า ในไทยได้รับโควต้าเฟียต 500 เบื้องต้นปีนี้ประมาณ 100 คัน โดยจะนำเข้ารุ่นธรรมดามาทำตลาดก่อน หลังจากนั้นจะเป็นเพิ่มทางเลือก ในรุ่นตกแต่งพิเศษ ไปจนถึงรุ่นเปิดประทุน ส่วนราคาใกล้เคียงกับที่เกรย์มาร์เก็ตนำเข้ามาทำตลาด(เริ่มเมื่อกลางปี 2551)
ด้านอัลฟ่า โรมิโอ จะมีการนำรุ่นที่เคยทำตลาดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น อัลฟ่า โรมิโอ 159 และสไปเดอร์เช่นเดิม รวมถึงโมเดลใหม่รุ่นมีตูที่สนใจนำเข้ามาทำตลาดปลายปีนี้ และเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าในไทย เพราะมีตูเป็นรถสปอร์ตทันสมัย ถูกใจคนที่มีไลฟ์สไตล์ชัดเจน จึงคาดว่าจะทำยอดขายไม่ต่ำกว่า 20 คันต่อปี โดยมีคู่แข่งสำคัญเป็นรถยนต์ มินิ ที่กำลังกวาดยอดขายเป็นกอบเป็นกำในไทยขณะนี้
สำหรับเฟียต 500 เป็นซิตี้คาร์ที่เปิดตัวในยุโรป เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และเข้ามาทำตลาดในไทย โดยผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ต เมื่อช่วงกลางปี 2552 ที่ผ่านมา โดยเคาะเริ่มต้นตั้งแต่กว่า 1.8 ล้านบาท ไปจนถึง 2 ล้านต้นๆ
โดยซิตี้คาร์รุ่นนี้เป็นแบบแฮตซ์แบ็ก 3 ประตู ที่ออกแบบอิงกับความคลาสสิคในอดีต (สไตล์เรโทร หรือRetro) ผสมผสานอย่างลงตัวกับความทันสมัยในยุคปัจจุบัน จึงได้ตอบรับจากผู้บริโภคทั่วโลกเป็นอย่างดี ซึ่งรุ่นที่จะนำเข้ามาทำตลาดในไทย จะเป็นเวอร์ชั่นหลังคาแบบซันรูฟ และมีอุปกรณ์แตกต่างจากที่เกรย์ฯ นำเข้ามาทำตลาด ส่วนขุมพลังติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร ทวินแคม 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 131 นิวตัน เมตร ที่ 4,250 รอบ/นาที
ทั้งนี้ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีม ด้านความปลอดภัยได้ ผ่านการทดสอบชนจาก Euro NCAP ด้วยระดับการปกป้องผู้ขับและผู้โดยสารสูงสุด 5 ดาว พร้อมกับติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า และถุงลมนิรภัยด้านข้าง สำหรับเบาะหน้าแบบพองตัวได้ 2 ระดับทั้งคู่, ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่า
ขณะที่อัลฟ่า มีตู เป็นสปอร์ตสายพันธุ์ใหม่ของค่ายอัลฟ่าฯ และถือเป็นผลผลิตที่จะนำมาท้าชน รถยนต์ มินิ ของค่ายใบพัดสีฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูโดยตรง ด้วยตัวถังกะทัดรัดสไตล์แฮทช์แบ็ก 3 ประตู มิติยาว 4,060 มิลลิเมตร กว้าง 1,720 มิลลิ เมตร และสูง 1,440 มิลลิเมตร โดยขุมพลังที่ขายในไทยจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร เทอร์โบ 155 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์เกียร์ธรรมดาแบบคลัตช์ไฟฟ้า 6 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8.0 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดทำได้ 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการทำงานของระบบเบรก เครื่องยนต์ เกียร์ พวงมาลัยและช่วงล่าง เพื่อปรับเซ็ตให้มีการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ขับขี่ โดยสามารถเลือกได้แบบ 3 โหมด คือ Dynamic เน้นสมรรถนะและความเร้าใจ Normal สำหรับการใช้งานในเมือง และ All-Weather เน้นความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อขับบนเส้นทางที่เปียกลื่น ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ลูกค้าต้องควักเงิน แลกความเร้าใจประมาณ 3 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตนเอง และที่สำคัญต้องมีเงินด้วย หากไม่ยึดติดแบรนด์แล้ว ปลายปีนี้มีทางเลือกใหม่มาให้พิจารณาแน่นอน แล้วทีนี้จะได้รู้กันว่ารถยนต์จากแดนมะกะโรนี จะซี้ดซ๊าดถูกปากหรือไม่?
ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายดีทีเดียว กับการทำตลาดรถยนต์ โปรตอน จากมาเลเซีย จนทำเอาเสี่ยๆ ทั้งหลายในตระกูล จึงสงวนพรสุข แห่งกลุ่มพระนครยนตรการ (PNA) ต่างดูมีความสุขยิ้มแย้มอิ่มเอิบ สวนสภาวะเศรษฐกิจดิ่งเหวเหลือเกิน แต่นั่นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น เพราะเมื่ออายุรถในตลาดเข้าสู่ปีที่ 4 ซึ่งถึงเวลาเข้าศูนย์บริการจริงๆ เสียที ตรงนั้นแหละจะเป็นบทพิสูจน์ ความกังขาของหลายฝ่ายที่มีมานานนับสิบปี และบ่งชี้ว่าจะประสบความสำเร็จแบบยั่งยืนหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม การตอบรับรถยนต์โปรตอนจากผู้บริโภคชาวไทย ทำให้กลุ่มพระนครยตรการเกิดความเชื่อมั่นและคึกคักอย่างมาก และส่งผลให้สองแบรนด์ เฟียต-อัลฟา โรมิโอ ที่ถืออยู่ในมือมานานหลายปี ถูกกลับมาปัดฝุ่นรุกตลาดจริงจังอีกครั้ง โดยเฉพาะแบรนด์ เฟียต ด้วยแล้ว แทบจะเก็บไส่ลิ้นชักไปเลย
ปลายปีนี้จะมีการนำรถยนต์เฟียตและอัลฟ่า โรมิโอ กลับมาทำตลาดอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยได้มีการจองบูธเพื่อแสดงรถยนต์ในงานมหกรรมยานยนต์ หรือมอเตอร์เอ็กซ์โป 2009 ภายใต้ชื่อแบรนด์เฟียต และอัลฟ่าฯ ซึ่งเป็นแยกออกมาจากบูธของโปรตอนชัดเจน
นั่นคือรายงานข่าวจากบริษัท ไทยเพรสทีจ ออโต้เซลส์ ในฐานะที่เป็นผู้จำหน่ายและนำเข้ารถยนต์อัลฟ่า โรมิโอ และเฟียตในประเทศไทย โดยเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มพระนครยนตรการ เช่นเดียวกับบริษัท พระนครออโตเซลส์ ผู้จำหน่ายรถยนต์และนำเข้ารถยนต์โปรตอนในไทย
อนึ่งเมื่อต้นปี ธวัชชัย จึงสงวนพรสุข ในฐานะผู้ดูแลรถยนต์ทั้งสามแบรนด์ ได้เปิดเผยกับ ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง ว่าประมาณกลางปี 2552 นี้ จะมีการทำตลาดรถยนต์เฟียตอย่างจริงจังอีกครั้ง และปลายปีจะมีการนำรถยนต์อัลฟ่า โรมิโอ รุ่นใหม่มาเปิดตัวเช่นกัน ส่วนเหตุผลที่ทั้งสองแบรนด์เงียบไปในช่วงหลังๆ เพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยมีโปรดักซ์เหมาะสมกับประเทศไทย
ดังนั้นจากข่าวคราวล่าสุด ไทยเพรสทีจฯ จะรุกตลาดอัลฟ่า โรมิโอ และเฟียตช่วงปลายปีนี้ จึงเป็นการเลื่อนไปจากแผนเดิมเล็กน้อย ส่วนเหตุผลตามรายงานข่าวระบุว่า การนำรถยนต์เข้ามาเปิดตัวทำตลาด ไม่ใช่ไทยเพรสทีจฯ จะกำหนดได้ทุกอย่าง เพราะต้องขึ้นอยู่กับทางบริษัทที่ประเทศอิตาลี่ด้วย โดยเฉพาะความพร้อมในการส่งรถมาให้ทำตลาด
เราขอนำเข้ารถและทำแผนการตลาด เสนอไปที่บริษัทแม่ในประเทศอิตาลี่ โดยรถยนต์ที่ต้องการทำตลาดในไทย เป็นรถยนต์เฟียต รุ่น500 ซึ่งกว่าจะได้ข้อสรุปและอนุมัติ เตรียมพร้อมรองรับการทำตลาดและบริการหลังการขาย รวมถึงส่งรถมายังเมืองไทย ย่อมใช้เวลาพอสมควร จากที่คาดไว้จะสามารถทำตลาดกลางปี จึงเลื่อนไปเป็นปลายปีนี้แทน โดยคาดว่าจะเปิดตัวก่อนงานมอเตอร์เอ็กซ์โปเล็กน้อย ส่วนอัลฟ่า โรมิโอ ยังคงเป็นไปตามแผน ในการขอนำเข้ารุ่นมีตู (Mi.To) มาทำตลาด หากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะเปิดตัวในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน
ส่วนรายละเอียดการทำตลาด ธวัชชัยเปิดเผยไว้ก่อนหน้านี้ว่า ในไทยได้รับโควต้าเฟียต 500 เบื้องต้นปีนี้ประมาณ 100 คัน โดยจะนำเข้ารุ่นธรรมดามาทำตลาดก่อน หลังจากนั้นจะเป็นเพิ่มทางเลือก ในรุ่นตกแต่งพิเศษ ไปจนถึงรุ่นเปิดประทุน ส่วนราคาใกล้เคียงกับที่เกรย์มาร์เก็ตนำเข้ามาทำตลาด(เริ่มเมื่อกลางปี 2551)
ด้านอัลฟ่า โรมิโอ จะมีการนำรุ่นที่เคยทำตลาดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น อัลฟ่า โรมิโอ 159 และสไปเดอร์เช่นเดิม รวมถึงโมเดลใหม่รุ่นมีตูที่สนใจนำเข้ามาทำตลาดปลายปีนี้ และเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าในไทย เพราะมีตูเป็นรถสปอร์ตทันสมัย ถูกใจคนที่มีไลฟ์สไตล์ชัดเจน จึงคาดว่าจะทำยอดขายไม่ต่ำกว่า 20 คันต่อปี โดยมีคู่แข่งสำคัญเป็นรถยนต์ มินิ ที่กำลังกวาดยอดขายเป็นกอบเป็นกำในไทยขณะนี้
สำหรับเฟียต 500 เป็นซิตี้คาร์ที่เปิดตัวในยุโรป เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และเข้ามาทำตลาดในไทย โดยผู้นำเข้ารถยนต์อิสระ หรือเกรย์มาร์เก็ต เมื่อช่วงกลางปี 2552 ที่ผ่านมา โดยเคาะเริ่มต้นตั้งแต่กว่า 1.8 ล้านบาท ไปจนถึง 2 ล้านต้นๆ
โดยซิตี้คาร์รุ่นนี้เป็นแบบแฮตซ์แบ็ก 3 ประตู ที่ออกแบบอิงกับความคลาสสิคในอดีต (สไตล์เรโทร หรือRetro) ผสมผสานอย่างลงตัวกับความทันสมัยในยุคปัจจุบัน จึงได้ตอบรับจากผู้บริโภคทั่วโลกเป็นอย่างดี ซึ่งรุ่นที่จะนำเข้ามาทำตลาดในไทย จะเป็นเวอร์ชั่นหลังคาแบบซันรูฟ และมีอุปกรณ์แตกต่างจากที่เกรย์ฯ นำเข้ามาทำตลาด ส่วนขุมพลังติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร ทวินแคม 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 131 นิวตัน เมตร ที่ 4,250 รอบ/นาที
ทั้งนี้ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีม ด้านความปลอดภัยได้ ผ่านการทดสอบชนจาก Euro NCAP ด้วยระดับการปกป้องผู้ขับและผู้โดยสารสูงสุด 5 ดาว พร้อมกับติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า และถุงลมนิรภัยด้านข้าง สำหรับเบาะหน้าแบบพองตัวได้ 2 ระดับทั้งคู่, ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่า
ขณะที่อัลฟ่า มีตู เป็นสปอร์ตสายพันธุ์ใหม่ของค่ายอัลฟ่าฯ และถือเป็นผลผลิตที่จะนำมาท้าชน รถยนต์ มินิ ของค่ายใบพัดสีฟ้าบีเอ็มดับเบิลยูโดยตรง ด้วยตัวถังกะทัดรัดสไตล์แฮทช์แบ็ก 3 ประตู มิติยาว 4,060 มิลลิเมตร กว้าง 1,720 มิลลิ เมตร และสูง 1,440 มิลลิเมตร โดยขุมพลังที่ขายในไทยจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร เทอร์โบ 155 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์เกียร์ธรรมดาแบบคลัตช์ไฟฟ้า 6 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ 8.0 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดทำได้ 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการทำงานของระบบเบรก เครื่องยนต์ เกียร์ พวงมาลัยและช่วงล่าง เพื่อปรับเซ็ตให้มีการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ขับขี่ โดยสามารถเลือกได้แบบ 3 โหมด คือ Dynamic เน้นสมรรถนะและความเร้าใจ Normal สำหรับการใช้งานในเมือง และ All-Weather เน้นความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อขับบนเส้นทางที่เปียกลื่น ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ลูกค้าต้องควักเงิน แลกความเร้าใจประมาณ 3 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตนเอง และที่สำคัญต้องมีเงินด้วย หากไม่ยึดติดแบรนด์แล้ว ปลายปีนี้มีทางเลือกใหม่มาให้พิจารณาแน่นอน แล้วทีนี้จะได้รู้กันว่ารถยนต์จากแดนมะกะโรนี จะซี้ดซ๊าดถูกปากหรือไม่?