การเยี่ยมชมโรงงานประกอบรถยนต์ เฌอรี่ ที่ประเทศจีน ทางคณะสื่อมวลชนไทยมีโอกาสร่วมกันสัมภาษณ์ “โจ ไบเร็น” รองประธานและกรรมการบริหาร บริษัท เฌอรี่ ออโตโมบิล จำกัด ในฐานะ ผู้อำนวยการด้านกิจการต่างประเทศของรถยนต์เฌอรี่ ถึงทิศทางในอนาคตและมุมมองของเฌอรี่ที่มีต่อประเทศไทย
-ภาพรวมของแบรนด์ “เฌอรี่”
รถยนต์ เฌอรี่(Chery) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 8 มกราคม 2540 หรือราว 12 ปีก่อนด้วยทุนจดทะเบียน 3,200 ล้านหยวน (ราว 16,000 ล้านบาท) ปัจจุบันมีแบรนด์ในเครือทั้งสิ้น 4 แบรนด์ได้แก่ เฌอรี่ ซึ่งเป็นแบรนด์ตั้งต้น และน้องใหม่อีก 3 แบรนด์คือ Riich, Rely และ Karry
สำหรับ เฌอรี่ มีครบทุกด้านทั้งโรงงานประกอบรถยนต์ ผลิตเครื่องยนต์ รวม 3 แห่ง บนเนื้อที่รวมกว่า 2 ล้านตารางเมตร มีบุคลากรรวมกันกว่า 23,000 คน มีศูนย์วิจัยและพัฒนาเป็นของตัวเอง มีวิศวกรและทีมงานด้านวิจัยมากกว่า 6,000 คน ร่วมกันสร้างมาตรฐานการผลิตจนได้ใบรับรองมาตรฐาน ISO/TS 16942 : 2002 ซึ่งเป็นการรับรองคุณภาพสูงที่สุดและเข้มงวดที่สุดของอุตสาหกรรมยานยนต์
ในประเทศจีน เฌอรี่เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของรถยนต์แบรนด์จีน ด้วยยอดขายเมื่อปีที่ผ่านมาประมาณ 356,000 คัน และถือเป็นแบรนด์รถยนต์อันดับ 4 ของตลาดรวมทั้งหมด โดยยอดขายอันดับ 1 เป็นของกลุ่ม โฟล์คสวาเกน รองลงมาคือจีเอ็ม และโตโยต้า ตามลำดับ
-แผนงานและรถรุ่นใหม่?
ด้านแผนงานเราวางเป้าหมายสำหรับการขายกระจายไปทั่วโลก ปัจจุบัน เฌอรี่ ส่งออกรถไปยัง 71 ประเทศทั่วโลก มีโรงงานประกอบรถยนต์(CKD Plants) 15 แห่งครอบคลุมทั่วทั้งเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกาใต้และอเมริกาเหนือ และจะขยายอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงนามเซ็นข้อตกลงรับจ้างผลิตเครื่องยนต์ให้กับกลุ่มของเฟียตกรุ๊ป จำนวน 100,000 เครื่องต่อปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงคุณภาพในด้านการผลิตของเฌอรี่ได้เป็นอย่างดี
ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่เพิ่งจะเปิดตัวรถรุ่น เอ3 โมเดลใหม่ล่าสุด เมื่องานเซี่ยงไฮ้ ออโต้ โชว์ที่ผ่านมา ส่วนของรถรุ่นอื่นๆ ในเดือนหน้าที่ประเทศบราซิล เ เณอรี่มีแผนจะเปิดตัวรถ เฟลกซ์ฟิว (FFV) รถที่รองรับการใช้เชื้อเพลิงได้หลายรูปแบบตั้งแต่ เอทานอลชนิด E100 ไปจนถึง เบนซิน 100% สำหรับประเทศไทยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในปีหน้า หากมีการร้องขอมา
-ทำอย่างไรถึงจะสู้รถญี่ปุ่นหรือเกาหลีได้?
รถญี่ปุ่นถือกำเนิดมานานกว่า 50 ปี รถเกาหลีก็สร้างสมประสบการณ์มานานกว่า 30 ปี ขณะที่รถยนต์ของเฌอรี่ เพิ่งจะก่อร้างสร้างตัวมาเพียงแค่ 10 กว่าปี ฉะนั้นคงยากถ้าจะให้ไล่ตามทันในช่วงอายุของผม แต่ทิศทางในอนาคตก็มีโอกาสทันกัน เนื่องจากหากย้อนไปดูอดีต จะเห็นว่า เฌอรี่ โตเร็วมาก ด้วยระยะเวลาเพียง 11 ปี ก็สามารถผลิตรถได้ถึง 1 ล้านคันแล้ว ดังนั้นแนวทางการตลาดของเราจะเน้นทำตลาดในประเทศที่แบรนด์ญี่ปุ่นยังไม่แข็งแรง
เรื่องของคุณภาพรถยนต์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการเช่น ชิ้นส่วนต่างๆ ที่ส่งมาจากซัพพลายเออร์ต้องได้คุณภาพสูง, ทักษะของคนงาน ซึ่งเราส่งคนไปฝึกฝนฝีมือและเรียนรู้ด้านการประกอบอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเครื่องจักรที่ทันสมัยในโรงงานประกอบรถยนต์ ปัจจุบันโรงงานของเฌอรี่มีเครื่องจักรที่ทันสมัยที่สุดจากยุโรป ฉะนั้นหากปัจจัยทุกอย่างเกื้อหนุนกันครบวงจร เชื่อว่าในอนาคตแบรนด์ของรถจีนจะแข็งแกร่งไม่น้อยหน้าใคร
-มุมมองต่อ“ตลาดรถยนต์ของไทย”
เราไม่ได้มองแค่เฉพาะเมืองไทย แต่เรามองเป็นภาพรวมของอาเซียน ซึ่งจะเป็นตลาดที่ใหญ่ในอนาคต สำหรับประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดใหญ่และสำคัญที่สุดของภูมิภาคนี้ ทั้งยังมีฐานการผลิตรถยนต์อยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนการจะเข้ามาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์เฌอรี่ในเมืองไทยหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับปัจจัยเรื่องของ ปริมาณการขาย เป็นหลัก
หากเมื่อใดก็ตามที่มียอดขายรถเฌอรี่ถึง 30,000 คันทั่วอาเซียน เราก็จะพิจารณาตั้งโรงงาน โดยมีกำลังการผลิต 50,000 คันต่อปี ซึ่งอาจจะตั้งที่ประเทศไทย หรือ อินโดนีเซีย หรือ มาเลเซีย ประเทศใดประเทศหนึ่งก็เป็นได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและยอดขาย ทั้งนี้สำหรับอินโนนีเซียและมาเลเซีย เรามีการจ้างโรงงานประกอบรถยนต์เฌอรี่เพื่อขายในประเทศนั้นๆ อยู่แล้ว
-อยากให้รัฐบาลไทยสนับสนุนอย่างไร?
อยากให้รัฐบาลไทยสนับสนุนเป็นอย่างมากทั้งด้านของที่ดิน อาจจะเป็นด้วยราคาที่ถูกหรือด้านภาษี ที่ให้เป็นกรณีพิเศษ สุดท้ายก็แล้วแต่ว่ารัฐบาลไทยจะมองเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างไร
-ภาพรวมของแบรนด์ “เฌอรี่”
รถยนต์ เฌอรี่(Chery) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 8 มกราคม 2540 หรือราว 12 ปีก่อนด้วยทุนจดทะเบียน 3,200 ล้านหยวน (ราว 16,000 ล้านบาท) ปัจจุบันมีแบรนด์ในเครือทั้งสิ้น 4 แบรนด์ได้แก่ เฌอรี่ ซึ่งเป็นแบรนด์ตั้งต้น และน้องใหม่อีก 3 แบรนด์คือ Riich, Rely และ Karry
สำหรับ เฌอรี่ มีครบทุกด้านทั้งโรงงานประกอบรถยนต์ ผลิตเครื่องยนต์ รวม 3 แห่ง บนเนื้อที่รวมกว่า 2 ล้านตารางเมตร มีบุคลากรรวมกันกว่า 23,000 คน มีศูนย์วิจัยและพัฒนาเป็นของตัวเอง มีวิศวกรและทีมงานด้านวิจัยมากกว่า 6,000 คน ร่วมกันสร้างมาตรฐานการผลิตจนได้ใบรับรองมาตรฐาน ISO/TS 16942 : 2002 ซึ่งเป็นการรับรองคุณภาพสูงที่สุดและเข้มงวดที่สุดของอุตสาหกรรมยานยนต์
ในประเทศจีน เฌอรี่เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของรถยนต์แบรนด์จีน ด้วยยอดขายเมื่อปีที่ผ่านมาประมาณ 356,000 คัน และถือเป็นแบรนด์รถยนต์อันดับ 4 ของตลาดรวมทั้งหมด โดยยอดขายอันดับ 1 เป็นของกลุ่ม โฟล์คสวาเกน รองลงมาคือจีเอ็ม และโตโยต้า ตามลำดับ
-แผนงานและรถรุ่นใหม่?
ด้านแผนงานเราวางเป้าหมายสำหรับการขายกระจายไปทั่วโลก ปัจจุบัน เฌอรี่ ส่งออกรถไปยัง 71 ประเทศทั่วโลก มีโรงงานประกอบรถยนต์(CKD Plants) 15 แห่งครอบคลุมทั่วทั้งเอเชีย ยุโรป แอฟริกา อเมริกาใต้และอเมริกาเหนือ และจะขยายอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ลงนามเซ็นข้อตกลงรับจ้างผลิตเครื่องยนต์ให้กับกลุ่มของเฟียตกรุ๊ป จำนวน 100,000 เครื่องต่อปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงคุณภาพในด้านการผลิตของเฌอรี่ได้เป็นอย่างดี
ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่เพิ่งจะเปิดตัวรถรุ่น เอ3 โมเดลใหม่ล่าสุด เมื่องานเซี่ยงไฮ้ ออโต้ โชว์ที่ผ่านมา ส่วนของรถรุ่นอื่นๆ ในเดือนหน้าที่ประเทศบราซิล เ เณอรี่มีแผนจะเปิดตัวรถ เฟลกซ์ฟิว (FFV) รถที่รองรับการใช้เชื้อเพลิงได้หลายรูปแบบตั้งแต่ เอทานอลชนิด E100 ไปจนถึง เบนซิน 100% สำหรับประเทศไทยคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในปีหน้า หากมีการร้องขอมา
-ทำอย่างไรถึงจะสู้รถญี่ปุ่นหรือเกาหลีได้?
รถญี่ปุ่นถือกำเนิดมานานกว่า 50 ปี รถเกาหลีก็สร้างสมประสบการณ์มานานกว่า 30 ปี ขณะที่รถยนต์ของเฌอรี่ เพิ่งจะก่อร้างสร้างตัวมาเพียงแค่ 10 กว่าปี ฉะนั้นคงยากถ้าจะให้ไล่ตามทันในช่วงอายุของผม แต่ทิศทางในอนาคตก็มีโอกาสทันกัน เนื่องจากหากย้อนไปดูอดีต จะเห็นว่า เฌอรี่ โตเร็วมาก ด้วยระยะเวลาเพียง 11 ปี ก็สามารถผลิตรถได้ถึง 1 ล้านคันแล้ว ดังนั้นแนวทางการตลาดของเราจะเน้นทำตลาดในประเทศที่แบรนด์ญี่ปุ่นยังไม่แข็งแรง
เรื่องของคุณภาพรถยนต์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการเช่น ชิ้นส่วนต่างๆ ที่ส่งมาจากซัพพลายเออร์ต้องได้คุณภาพสูง, ทักษะของคนงาน ซึ่งเราส่งคนไปฝึกฝนฝีมือและเรียนรู้ด้านการประกอบอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเครื่องจักรที่ทันสมัยในโรงงานประกอบรถยนต์ ปัจจุบันโรงงานของเฌอรี่มีเครื่องจักรที่ทันสมัยที่สุดจากยุโรป ฉะนั้นหากปัจจัยทุกอย่างเกื้อหนุนกันครบวงจร เชื่อว่าในอนาคตแบรนด์ของรถจีนจะแข็งแกร่งไม่น้อยหน้าใคร
-มุมมองต่อ“ตลาดรถยนต์ของไทย”
เราไม่ได้มองแค่เฉพาะเมืองไทย แต่เรามองเป็นภาพรวมของอาเซียน ซึ่งจะเป็นตลาดที่ใหญ่ในอนาคต สำหรับประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดใหญ่และสำคัญที่สุดของภูมิภาคนี้ ทั้งยังมีฐานการผลิตรถยนต์อยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนการจะเข้ามาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์เฌอรี่ในเมืองไทยหรือไม่ คงขึ้นอยู่กับปัจจัยเรื่องของ ปริมาณการขาย เป็นหลัก
หากเมื่อใดก็ตามที่มียอดขายรถเฌอรี่ถึง 30,000 คันทั่วอาเซียน เราก็จะพิจารณาตั้งโรงงาน โดยมีกำลังการผลิต 50,000 คันต่อปี ซึ่งอาจจะตั้งที่ประเทศไทย หรือ อินโดนีเซีย หรือ มาเลเซีย ประเทศใดประเทศหนึ่งก็เป็นได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและยอดขาย ทั้งนี้สำหรับอินโนนีเซียและมาเลเซีย เรามีการจ้างโรงงานประกอบรถยนต์เฌอรี่เพื่อขายในประเทศนั้นๆ อยู่แล้ว
-อยากให้รัฐบาลไทยสนับสนุนอย่างไร?
อยากให้รัฐบาลไทยสนับสนุนเป็นอย่างมากทั้งด้านของที่ดิน อาจจะเป็นด้วยราคาที่ถูกหรือด้านภาษี ที่ให้เป็นกรณีพิเศษ สุดท้ายก็แล้วแต่ว่ารัฐบาลไทยจะมองเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างไร