อาจจะดูกร่อยๆไปนิดสำหรับฮอนด้า ที่นำ"อินไซท์ ไฮบริด"มาอวดโฉม(ยังไม่ขาย)ในงานบางกอกฯมอเตอร์โชว์ เพราะจากที่วาดหวังให้เป็นไฮไลต์เด็ด เนื่องจากเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดโลกสดๆร้อนๆเมื่องานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2009 เดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่กระนั้นก็ไม่วายโดนเกรย์มาร์เก็ตอย่าง BRG ปาดหน้านำเข้ามาเปิดตัวพร้อมขายก่อนเกือบเดือน
...ทำใจครับ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในธุรกิจสีเทา ที่อาศัยความไวในการทำตลาด หวังดึงลูกค้าใจเร็ว ชอบความแตกต่างอยู่แล้ว ยิ่งในช่วงที่อดีตเจ้าตลาด เอส.อี.ซี.เกิดล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ จึงทำให้ผู้ประกอบการระดับรองลงมาพยายามแข่งขันเพิ่มบทบาทของตัวให้มากยิ่งขึ้น
เช่นกันกับ BRG รามคำแหงกรุ๊ป ที่เตรียมรุกตลาดเข้ม ทั้งการสร้างภาพลักษณ์ เสริมความมั่นใจด้านบริการหลังการขาย รวมถึงการสรรหาโปรดักต์สดใหม่ มาเปิดตัวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยประเดิมกับ ฮอนด้า อินไซท์ ไฮบริด พร้อมตั้งค่าหัว 1.99 ล้านบาท
"อินไซท์ ไฮบริด ใหม่"เจเนอเรชันที่สอง ทางวิศวกรฮอนด้าพยายามลบจุดด้อยเดิมๆ หรือส่วนที่ทำให้สู้กับคู่แข่งอย่างพริอุสไม่ได้ในหลายๆจุด และอย่างที่เห็นชัดเลยคือการเปลี่ยนจากตัวถังแฮทซ์แบ็ก 3 ประตู มาเป็นแบบ 5 ประตู เพื่อความอเนกประสงค์(และเป็นแบบเดียวกับพริอุส) ขณะเดียวกันพยายามกดราคาขายให้ต่ำกว่าด้วย
นอกจากนี้ยังมากับอุปกรณ์อำนวยความสะดวก-ปลอดภัยตามสมควร ทั้งระบบกรองอากาศป้องกันโรคภูมิแพ้ กุญแจแบบ Immobilizer พร้อมสัญญาณกันขโมย เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับผ่อนแรงอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยคู่หน้าแปรผันตามความรุนแรง ระบบเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD
จุดเด่นอีกประการเห็นจะเป็นหน้าปัดแสดงผลแบบ 2 ชั้น โดยชั้นล่างจะมีไมล์แสดงรอบเครื่องยนต์ และการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าฟ้าแบบรีลไทม์ว่า ตอนนี้กำลังชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่กี่มากน้อย หรือใช้ไฟฟ้าเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนขนาดแค่ไหน ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงก็จะมีผลต่อหน้าปัดที่โชว์ตัวเลขความเร็วด้านบน ที่จะเปลี่ยนสีตามสภาวะการขับขี่ คือถ้าเท้าเบาไม่เร่งความเร็วเกินจำเป็นหรือได้ไฟกลับไปชาร์จในแบตเตอรี่มาก หน้าปัดจะเป็นสีเขียวเข้ม แต่ถ้าขับไม่บันยะบันยัง เครื่องยนต์ทำงานหนัก แสดงว่าคุณไม่รักษ์โลก หน้าปัดมันจะออกสีส้มๆหรือแดงๆไปเลย
ด้านพลังขับเคลื่อนเป็นหน้าที่ของ เครื่องยนต์เบนซิน i-VTEC SOHC 4 สูบขนาด 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 88 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 121 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่จะเป็นทั้งตัวผลิตและชาร์จพลังงานที่สูญเปล่าจากการเบรกหรือชะลอรถยนต์กลับเข้าไปยังแบตเตอรี่ โดยให้กำลังสูงสุด 14แรงม้า ที่ 1,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 78 นิวตัน-เมตร ที่ 1,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันหรือCVT
สำหรับระบบไฮบริดของฮอนด้า เป็นแบบ IMA หรือ Integrated Motor Assist โดยหลักการทำงานจะยังใช้เครื่องยนต์ทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะเป็นเพียงตัวช่วย หรือคอยเสริมแรงให้เครื่องยนต์ในบางจังหวะเท่านั้น ซึ่งต่างกับ Fully Hybrid ของโตโยต้าที่บางช่วงสามารถใช้พลังจากเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวหรือจะผสมกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่
ทั้งนี้ฮอนด้ายังพยายามปรับปรุงระบบไฮบริด ที่ในรุ่นเดิมอาจมีหลายจุดยังไม่โดนใจลูกค้าโดยเฉพาะการสอดประสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ไม่ค่อยราบเรียบนัก ขณะเดียวกันเครื่องยนต์จะดับเองอัตโนมัติเมื่อรถจอดสนิท(ไม่ว่าจะค่อยๆขยับตามกันไป หรือจอดติดไฟแดง) ส่งผลให้การขับในเมืองช่วงรถติดๆ จะมีจังหวะกระตุกกระชาก ชวนเวียนหัวพอสมควร
แต่มาในอินไซท์ ไฮบริด ใหม่ อาการที่ว่าแทบไม่มีให้เห็น และอย่างที่บอกว่าไฟฟ้าจะเข้ามาช่วยในช่วงที่เราต้องการเพิ่มความเร็วเท่านั้น และไม่เข้ามาประสานงานพร่ำเพรื่อ
อย่างไรก็ตามถ้าต้องการความประหยัดสูงสุด คุณก็สามารถเลือกการขับเคลื่อนเป็นโหมดอีคอน โดยการกดปุ่มสีเขียว ใกล้ๆกับช่องเสียบกุญแจได้ แต่นั่นต้องแลกกับอาการกะจึ๊กกะจั๊กเดิมๆที่จะตามมา...โดยในโหมดดังกล่าวคุณจะรับรู้ถึงความแตกต่างกับโหมดปกติ ยิ่งช่วงออกตัวหรือการขับในรอบต่ำ การสอดประสานของไฟฟ้าและน้ำมัน ดูไม่ค่อยเนียนนัก และแน่นนอนเครื่องยนต์จะดับเองเมื่อเราแตะเบรกหยุดรถ(แม้จะอยู่ในเกียร์ D)
ในประเด็นเรื่องความประหยัดน้ำมันไม่เป็นที่สงสัยครับ เพราะดูจากขนาดของเครื่องยนต์ และการทำงานในรอบที่ต่ำมาก โดยการวิ่งคงที่ 80-100 กม.ชม. จะสวิงอยู่แถวๆ 1000-2000 รอบไม่เกินนี้ แต่กระนั้นถ้าต้องการเพิ่มความเร็วกะทันหัน เพียงกดคันเร่งคิกดาวน์รอบโดดไปถึง 3000-4000 พร้อมเสริมด้วยพลังจากมอเตอร์กับไฟฟ้า ก็ส่งให้รถทะยานไปข้างหน้าได้ทันใจ ทั้งนี้ในโหมดการขับปกติ ไม่ว่าจะอยู่ในย่านความเร็วไหนถ้าเราต้องการเร่งความเร็ว ไฟฟ้าจะเข้ามาช่วยตลอด จนเมื่ออีซียูจับได้ว่าเท้าเราผ่อนคันเร่ง หรือรถทำความเร็วได้ตามที่ต้องการแล้ว ค่อยปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานลำพัง และด้วยปรัชญานี้ จึงทำให้เราเห็นตัวเลขซดน้ำมันเฉลี่ย 26 กม./ลิตร
อินไซท์ ไฮบริด ใช้ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนกสองชั้น และหลังถึงแม้จะเป็นคานแข็งแต่ก็รองรับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนนได้ดี พวงมาลัย แป้นคันเร่ง-เบรก อาจเบาเท้าไปนิด(แต่คุณผู้หญิงอาจจะชอบ) ซึ่งรวมๆถือเป็นรถคอมแพกต์ที่ขับสบาย-นั่งเพลิน แต่จะเว้นเสียว่าที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังอาจแคบไปนิดสำหรับคนตัวใหญ่(ชายไทยหุ่นมาตรฐาน) โดยเฉพาะเสาซี-พิลลาร์ที่ลาดเอียง ทำให้พื้นที่เหนือศีรษะเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
รวบรัดตัดความ...ต้องย้ำก่อนว่าอินไซท์ ไฮบริด ไม่ใช่รถหรู เพราะทั้งออปชัน หรือความรู้สึกการขับรวมๆมันยังไม่ถึง แต่ด้วยการเป็นยนตกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม และประหยัดน้ำมัน ทำให้คุณยังต้องจ่ายค่าเทคโนโลยีที่แพงอยู่(คนขับอาจดูหรู) ที่สำคัญ BRG ต้องรีบตักตวงยอดขายช่วงนี้เอาไว้ เพราะคัมรี่ ไฮบริด รุ่นประกอบในประเทศกำลังคอยท่าอยู่แล้ว โดยยักษ์ใหญ่กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิทธิพิเศษจากรัฐบาลเพิ่ม(โดยเฉพาะเรื่องภาษี) อันจะส่งให้รถราคาไม่สูงมาก และถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไตรมาส3 หรือ 4 ปีนี้ พี่เขามาแน่
...ทำใจครับ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในธุรกิจสีเทา ที่อาศัยความไวในการทำตลาด หวังดึงลูกค้าใจเร็ว ชอบความแตกต่างอยู่แล้ว ยิ่งในช่วงที่อดีตเจ้าตลาด เอส.อี.ซี.เกิดล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ จึงทำให้ผู้ประกอบการระดับรองลงมาพยายามแข่งขันเพิ่มบทบาทของตัวให้มากยิ่งขึ้น
เช่นกันกับ BRG รามคำแหงกรุ๊ป ที่เตรียมรุกตลาดเข้ม ทั้งการสร้างภาพลักษณ์ เสริมความมั่นใจด้านบริการหลังการขาย รวมถึงการสรรหาโปรดักต์สดใหม่ มาเปิดตัวอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยประเดิมกับ ฮอนด้า อินไซท์ ไฮบริด พร้อมตั้งค่าหัว 1.99 ล้านบาท
"อินไซท์ ไฮบริด ใหม่"เจเนอเรชันที่สอง ทางวิศวกรฮอนด้าพยายามลบจุดด้อยเดิมๆ หรือส่วนที่ทำให้สู้กับคู่แข่งอย่างพริอุสไม่ได้ในหลายๆจุด และอย่างที่เห็นชัดเลยคือการเปลี่ยนจากตัวถังแฮทซ์แบ็ก 3 ประตู มาเป็นแบบ 5 ประตู เพื่อความอเนกประสงค์(และเป็นแบบเดียวกับพริอุส) ขณะเดียวกันพยายามกดราคาขายให้ต่ำกว่าด้วย
นอกจากนี้ยังมากับอุปกรณ์อำนวยความสะดวก-ปลอดภัยตามสมควร ทั้งระบบกรองอากาศป้องกันโรคภูมิแพ้ กุญแจแบบ Immobilizer พร้อมสัญญาณกันขโมย เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับผ่อนแรงอัตโนมัติ ถุงลมนิรภัยคู่หน้าแปรผันตามความรุนแรง ระบบเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD
จุดเด่นอีกประการเห็นจะเป็นหน้าปัดแสดงผลแบบ 2 ชั้น โดยชั้นล่างจะมีไมล์แสดงรอบเครื่องยนต์ และการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าฟ้าแบบรีลไทม์ว่า ตอนนี้กำลังชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่กี่มากน้อย หรือใช้ไฟฟ้าเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนขนาดแค่ไหน ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงก็จะมีผลต่อหน้าปัดที่โชว์ตัวเลขความเร็วด้านบน ที่จะเปลี่ยนสีตามสภาวะการขับขี่ คือถ้าเท้าเบาไม่เร่งความเร็วเกินจำเป็นหรือได้ไฟกลับไปชาร์จในแบตเตอรี่มาก หน้าปัดจะเป็นสีเขียวเข้ม แต่ถ้าขับไม่บันยะบันยัง เครื่องยนต์ทำงานหนัก แสดงว่าคุณไม่รักษ์โลก หน้าปัดมันจะออกสีส้มๆหรือแดงๆไปเลย
ด้านพลังขับเคลื่อนเป็นหน้าที่ของ เครื่องยนต์เบนซิน i-VTEC SOHC 4 สูบขนาด 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 88 แรงม้า ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 121 นิวตัน-เมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่จะเป็นทั้งตัวผลิตและชาร์จพลังงานที่สูญเปล่าจากการเบรกหรือชะลอรถยนต์กลับเข้าไปยังแบตเตอรี่ โดยให้กำลังสูงสุด 14แรงม้า ที่ 1,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 78 นิวตัน-เมตร ที่ 1,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันหรือCVT
สำหรับระบบไฮบริดของฮอนด้า เป็นแบบ IMA หรือ Integrated Motor Assist โดยหลักการทำงานจะยังใช้เครื่องยนต์ทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะเป็นเพียงตัวช่วย หรือคอยเสริมแรงให้เครื่องยนต์ในบางจังหวะเท่านั้น ซึ่งต่างกับ Fully Hybrid ของโตโยต้าที่บางช่วงสามารถใช้พลังจากเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวหรือจะผสมกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่
ทั้งนี้ฮอนด้ายังพยายามปรับปรุงระบบไฮบริด ที่ในรุ่นเดิมอาจมีหลายจุดยังไม่โดนใจลูกค้าโดยเฉพาะการสอดประสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ไม่ค่อยราบเรียบนัก ขณะเดียวกันเครื่องยนต์จะดับเองอัตโนมัติเมื่อรถจอดสนิท(ไม่ว่าจะค่อยๆขยับตามกันไป หรือจอดติดไฟแดง) ส่งผลให้การขับในเมืองช่วงรถติดๆ จะมีจังหวะกระตุกกระชาก ชวนเวียนหัวพอสมควร
แต่มาในอินไซท์ ไฮบริด ใหม่ อาการที่ว่าแทบไม่มีให้เห็น และอย่างที่บอกว่าไฟฟ้าจะเข้ามาช่วยในช่วงที่เราต้องการเพิ่มความเร็วเท่านั้น และไม่เข้ามาประสานงานพร่ำเพรื่อ
อย่างไรก็ตามถ้าต้องการความประหยัดสูงสุด คุณก็สามารถเลือกการขับเคลื่อนเป็นโหมดอีคอน โดยการกดปุ่มสีเขียว ใกล้ๆกับช่องเสียบกุญแจได้ แต่นั่นต้องแลกกับอาการกะจึ๊กกะจั๊กเดิมๆที่จะตามมา...โดยในโหมดดังกล่าวคุณจะรับรู้ถึงความแตกต่างกับโหมดปกติ ยิ่งช่วงออกตัวหรือการขับในรอบต่ำ การสอดประสานของไฟฟ้าและน้ำมัน ดูไม่ค่อยเนียนนัก และแน่นนอนเครื่องยนต์จะดับเองเมื่อเราแตะเบรกหยุดรถ(แม้จะอยู่ในเกียร์ D)
ในประเด็นเรื่องความประหยัดน้ำมันไม่เป็นที่สงสัยครับ เพราะดูจากขนาดของเครื่องยนต์ และการทำงานในรอบที่ต่ำมาก โดยการวิ่งคงที่ 80-100 กม.ชม. จะสวิงอยู่แถวๆ 1000-2000 รอบไม่เกินนี้ แต่กระนั้นถ้าต้องการเพิ่มความเร็วกะทันหัน เพียงกดคันเร่งคิกดาวน์รอบโดดไปถึง 3000-4000 พร้อมเสริมด้วยพลังจากมอเตอร์กับไฟฟ้า ก็ส่งให้รถทะยานไปข้างหน้าได้ทันใจ ทั้งนี้ในโหมดการขับปกติ ไม่ว่าจะอยู่ในย่านความเร็วไหนถ้าเราต้องการเร่งความเร็ว ไฟฟ้าจะเข้ามาช่วยตลอด จนเมื่ออีซียูจับได้ว่าเท้าเราผ่อนคันเร่ง หรือรถทำความเร็วได้ตามที่ต้องการแล้ว ค่อยปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานลำพัง และด้วยปรัชญานี้ จึงทำให้เราเห็นตัวเลขซดน้ำมันเฉลี่ย 26 กม./ลิตร
อินไซท์ ไฮบริด ใช้ช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนกสองชั้น และหลังถึงแม้จะเป็นคานแข็งแต่ก็รองรับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนนได้ดี พวงมาลัย แป้นคันเร่ง-เบรก อาจเบาเท้าไปนิด(แต่คุณผู้หญิงอาจจะชอบ) ซึ่งรวมๆถือเป็นรถคอมแพกต์ที่ขับสบาย-นั่งเพลิน แต่จะเว้นเสียว่าที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังอาจแคบไปนิดสำหรับคนตัวใหญ่(ชายไทยหุ่นมาตรฐาน) โดยเฉพาะเสาซี-พิลลาร์ที่ลาดเอียง ทำให้พื้นที่เหนือศีรษะเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
รวบรัดตัดความ...ต้องย้ำก่อนว่าอินไซท์ ไฮบริด ไม่ใช่รถหรู เพราะทั้งออปชัน หรือความรู้สึกการขับรวมๆมันยังไม่ถึง แต่ด้วยการเป็นยนตกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม และประหยัดน้ำมัน ทำให้คุณยังต้องจ่ายค่าเทคโนโลยีที่แพงอยู่(คนขับอาจดูหรู) ที่สำคัญ BRG ต้องรีบตักตวงยอดขายช่วงนี้เอาไว้ เพราะคัมรี่ ไฮบริด รุ่นประกอบในประเทศกำลังคอยท่าอยู่แล้ว โดยยักษ์ใหญ่กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิทธิพิเศษจากรัฐบาลเพิ่ม(โดยเฉพาะเรื่องภาษี) อันจะส่งให้รถราคาไม่สูงมาก และถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไตรมาส3 หรือ 4 ปีนี้ พี่เขามาแน่