ข่าวในประเทศ - ค่าย ฮุนได ฟุ้งจับทิศตลาดถูกทาง หลังจากรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี (MPV) รุ่น H-1 สร้างยอดขายเป็นกอบเป็นกำ ผลักดันปีที่แล้วทำยอดกว่า 900 คัน ประกาศเปิดตัวโมเดลปี 2009 ด้วยการอัพเกรดให้หรูหราและสะดวกสบายขึ้น หวังเจาะตลาดพรีเมี่ยมที่ยังเชื่อมีช่องว่างอยู่ กำหนดเปิดขายเป็นทางการงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ ปลายมีนาคมนี้ ในราคาไม่แตกต่างจากเดิมนัก ก่อนจะส่งเอ็มพีวีระดับหรูขย่มซ้ำอีกรุ่นช่วงปลายปี มั่นใจจะผลักดันยอดขายปีนี้ทะลุ 1,500 คัน เติบโตสวนกระแสตลาดรถและเศรษฐกิจตกต่ำ ส่วนอดีตรถธง โซนาต้า ยอมรับสภาพเจาะคู่แข่งไม่เข้า แต่ยังยืนยันทำตลาดต่อไป ด้วยปรับกลยุทธ์เจาะตลาดฟลีต หรือกลุ่มลูกค้าองค์กร ด้านรถตลาดอย่างเก๋งคอมแพ็กต์และซับคอมแพ็กต์ สภาวะเช่นนี้ไม่ลงไปยุ่ง แผนนำเข้า เอลันตร้า จึงเลื่อนออกไป เพื่อรอจังหวะเหมาะสม เช่นเดียวกับรุ่น ไอ10 แม้สนใจนำเข้า แต่ก็ต้องรอ FTA ระหว่างไทยกับอินเดีย ที่ไม่รู้ว่าจะเปิดเสรีรถยนต์เมื่อไหร่?
แม้ตลาดรถยนต์ปีที่แล้ว จะโดนปัจจัยลบกระหน่ำอย่างหนัก แต่การกลับมาเป็นรุกตลาดไทยอีกครั้งของฮุนไดเมื่อปี 2550 ภายใต้การทำตลาดของกลุ่ม โซจิทสึ ดูเหมือนในปีผ่านมาจะเป็นก้าวที่ดีอย่างยิ่ง จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และในปี 2552 ถือเป็นก้าวที่จะต้องพิสูจน์ฝีมืออย่างแท้จริง ภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประเทศไทย จนทำให้ตลาดรถยนต์คาดว่าจะติดลบ 15-17% และยิ่งมกราคมเดือนแรกของปี ร่วงหนักลงไปถึง 30% ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้ ฮุนไดยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่?
แม้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ปีนี้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่เราเชื่อมั่นด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นของรถยนต์ฮุนได และแผนการตลาดที่ดำเนินควบคู่กันไปนั้น จะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่เพิ่มขึ้นได้ เหตุนี้เราจึงตั้งเป้ายอดขายเป็น 1,500 คัน จากปีที่ผ่านมาทำได้กว่า 900 คัน
นั่นคือคำกล่าวของ โยชิสึมิ คุราตะ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ที่ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนในการแถลงนโยบายบริษัท และว่า ในปีที่ผ่านมาจะประสบปัจจัยลบหลายอย่าง จนส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์โดยรวม แต่ฮุนไดสามารถทำยอดขายได้กว่า 900 คัน และทั้งหมดล้วนเป็นรถพรีเมียมที่ราคาสูงกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี (MPV) รุ่น H-1 นั่นแสดงให้เห็นถึงช่องว่างของตลาดที่ยังมีความต้องการอยู่ และฮุนไดสามารถค้นพบเจอ
เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว และผลักดันยอดขายให้เติบโตตามเป้า ปีนี้เราจึงได้ขยายรถยนต์รุ่น H-1 ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยจะเปิดตัวโมเดลปี 2009 ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ด้วยการปรับเปลี่ยนภายในห้องโดยสาร ให้มีความสะดวกสบายและใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การเพิ่มรางสไลด์คู่ การปรับเปลี่ยนรูปแบบของเบาะนั่งให้ปรับได้หลายทิศทาง เช่นหมุนเบาะนั่งเข้าหากันได้ และตกแต่งสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นต้น โดยราคาจะปรับขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น และจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2009 ที่ไบเทค บางนา
นั่นคือทิศทางของฮุนไดก้าวแรกปีนี้ โดยมีรายงานว่าฮุนไดเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก ที่จะเติบโตสวนกระแสสภาวะตลาดรถยนต์ไทยและเศรษฐกิจตกต่ำได้ เพราะนับตั้งแต่เริ่มจับทิศทางตลาดได้ถูก จากการนำเข้ารถเอ็มพีวีรุ่น H-1 มาทำตลาด หลังจากคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จ กับรถยนต์นั่งขนาดกลาง ฮุนได โซนาต้า ในการหวนกลับเข้ามาในตลาดไทยอีกครั้ง เมื่อกลางปีปี 2550 ถึงกับลงทุนจ้างกลุ่มธนบุรีประกอบรถยนต์ เพื่อขึ้นไลน์ประกอบรถรุ่นโซนาต้าในไทย แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร เพราะคู่แข่งในตลาดล้วนแข็งแกร่งทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า คัมรี่ และฮอนด้า แอคคอร์ด
อย่างไรก็ตาม ฮุนไดเองยอมรับแล้วว่า ตลาดกลุ่มโซนาต้าเจาะยากมาก แต่ก็ยังยืนยันที่จะทำตลาดต่อไปแน่นอน โดยจะปรับกลยุทธ์ส่งรถรุ่นโซนาต้าเน้นเจาะตลาดฟลีต หรือกลุ่มลูกค้าองค์กรเป็นหลัก ซึ่งได้มีการเริ่มทดลองและประสบความสำเร็จทีเดียว ดังนั้นในปีนี้จะเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายรุ่นโซนาต้ามารุกตลาดกลุ่มนี้อย่างเต็มที่ และน่าจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นพอสมควร เพราะมีการดูและและให้เงื่อนไขที่ดี ส่วนรุ่นสปอร์ตคูเป้ปีที่แล้วขายได้กว่า 20 คัน ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ แต่ยอดขายหลักๆ ปีนี้ จะอยู่ที่รุ่น H-1 กว่า 80% เช่นเดิม
สำหรับรถยนต์โมเดลใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ นอกจากการปรับความสมบูรณ์ให้กับรุ่น H-1 แล้ว ฮุนไดกำลังพิจารณาที่จะแนะนำรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี 7 ที่นั่งโมเดลใหม่ มาทำตลาดในไทยช่วงปลายปีนี้ โดยจะเป็นรถระดับพรีเมี่ยม ที่ขยับกลุ่มลูกค้าจากรุ่น H-1 วันขึ้นไปอีก ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับดีเช่นกัน และมั่นใจว่าเอ็มพีวีทั้งสองรุ่นของฮุนได จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดอย่าง โฟล์คสวาเกน คาราเวล ได้
ส่วนรถโมเดลอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ตลาด อย่างเก๋งคอมแพ็กต์และซับคอมแพ็กต์ ซึ่งฮุนไดมีแนวคิดจะนำเข้ามาทำตลาดในไทย เพื่อครอบคลุมตลาดทุกเซกเมนท์นั้น แม้จะมียังมีแนวคิดนี้อยู่และในการประชุมเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้มีการพูดถึงรถกลุ่มนี้มาทำตลาดในไทย แต่ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ถือเป็นรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบก่อน
ดังนั้นในปีนี้จะไม่มีการนำเข้าเก๋งคอมแพ็กต์รุ่น เอลันตร้า จากมาเลเซียมาทำตลาดในไทย อย่างที่คุราตะประธานฮุนไดไทยแลนด์ เปิดเผยกับ ผู้จัดการมอเตอริ่ง เมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าฮุนไดทิ้งตลาดกลุ่มนี้ เพียงแต่รอจังหวะที่เหมาะสมมากกว่านี้
เช่นเดียวกับรถเล็กที่มีการพิจารณาเช่นกัน แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างประกอบ เช่นเก๋งเล็ก ฮุนได ไอ10 (i10) ที่ประธานคุราตะได้เปิดเผยว่า กำลังพิจารณานำเข้าจากประเทศอินเดียมาทำตลาดในไทย ภายใต้กรอบข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับอินเดีย แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะเปิดเสรีนำเข้ารถยนต์
ฉะนั้นในช่วงปีนี้ฮุนไดจึงมุ่งจับตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือตลาดรถพรีเมี่ยมเป็นหลัก โดยมีรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี 2 รุ่น ในการเป็นหัวหอกบุกตลาด โดยเดือนมีนาคมนี้รุ่นหนึ่ง และปลายปีช่วงงานมอเตอร์เอ็กซ์โปอีกรุ่น ส่วนด้านการบริการลูกค้า จำนวนโชว์รูมและศูนย์บริการปัจจุบันมี 16 แห่ง และปีนี้จะเปิดเพิ่มเป็น 20 แห่ง ซึ่งที่เน้นขยายในตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก เพราะปริมาณโชว์รูมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัจจุบันค่อนข้างครอบคลุมพื้นที่ได้ทั่วถึงพอสมควร
ทีนี้ก็มาลุ้นกันว่า... กลยุทธ์ที่ฮุนไดเชื่อมั่นมาถูกทางแล้ว จะสามารถทำยอดขายได้ตามฝันหรือไม่? แต่ที่แน่ๆ ประเดิมเดือนแรกของปีวัวบ้า ฮุนไดดิ่งเหวไปแล้ว 44% ดังนั้นไม่ถึงสิ้นปีนี้ได้รู้ผลแน่นอน!
แม้ตลาดรถยนต์ปีที่แล้ว จะโดนปัจจัยลบกระหน่ำอย่างหนัก แต่การกลับมาเป็นรุกตลาดไทยอีกครั้งของฮุนไดเมื่อปี 2550 ภายใต้การทำตลาดของกลุ่ม โซจิทสึ ดูเหมือนในปีผ่านมาจะเป็นก้าวที่ดีอย่างยิ่ง จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และในปี 2552 ถือเป็นก้าวที่จะต้องพิสูจน์ฝีมืออย่างแท้จริง ภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประเทศไทย จนทำให้ตลาดรถยนต์คาดว่าจะติดลบ 15-17% และยิ่งมกราคมเดือนแรกของปี ร่วงหนักลงไปถึง 30% ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้ ฮุนไดยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่?
แม้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ปีนี้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่เราเชื่อมั่นด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นของรถยนต์ฮุนได และแผนการตลาดที่ดำเนินควบคู่กันไปนั้น จะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่เพิ่มขึ้นได้ เหตุนี้เราจึงตั้งเป้ายอดขายเป็น 1,500 คัน จากปีที่ผ่านมาทำได้กว่า 900 คัน
นั่นคือคำกล่าวของ โยชิสึมิ คุราตะ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ที่ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนในการแถลงนโยบายบริษัท และว่า ในปีที่ผ่านมาจะประสบปัจจัยลบหลายอย่าง จนส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์โดยรวม แต่ฮุนไดสามารถทำยอดขายได้กว่า 900 คัน และทั้งหมดล้วนเป็นรถพรีเมียมที่ราคาสูงกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี (MPV) รุ่น H-1 นั่นแสดงให้เห็นถึงช่องว่างของตลาดที่ยังมีความต้องการอยู่ และฮุนไดสามารถค้นพบเจอ
เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว และผลักดันยอดขายให้เติบโตตามเป้า ปีนี้เราจึงได้ขยายรถยนต์รุ่น H-1 ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยจะเปิดตัวโมเดลปี 2009 ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ด้วยการปรับเปลี่ยนภายในห้องโดยสาร ให้มีความสะดวกสบายและใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การเพิ่มรางสไลด์คู่ การปรับเปลี่ยนรูปแบบของเบาะนั่งให้ปรับได้หลายทิศทาง เช่นหมุนเบาะนั่งเข้าหากันได้ และตกแต่งสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นต้น โดยราคาจะปรับขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น และจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2009 ที่ไบเทค บางนา
นั่นคือทิศทางของฮุนไดก้าวแรกปีนี้ โดยมีรายงานว่าฮุนไดเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก ที่จะเติบโตสวนกระแสสภาวะตลาดรถยนต์ไทยและเศรษฐกิจตกต่ำได้ เพราะนับตั้งแต่เริ่มจับทิศทางตลาดได้ถูก จากการนำเข้ารถเอ็มพีวีรุ่น H-1 มาทำตลาด หลังจากคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จ กับรถยนต์นั่งขนาดกลาง ฮุนได โซนาต้า ในการหวนกลับเข้ามาในตลาดไทยอีกครั้ง เมื่อกลางปีปี 2550 ถึงกับลงทุนจ้างกลุ่มธนบุรีประกอบรถยนต์ เพื่อขึ้นไลน์ประกอบรถรุ่นโซนาต้าในไทย แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร เพราะคู่แข่งในตลาดล้วนแข็งแกร่งทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า คัมรี่ และฮอนด้า แอคคอร์ด
อย่างไรก็ตาม ฮุนไดเองยอมรับแล้วว่า ตลาดกลุ่มโซนาต้าเจาะยากมาก แต่ก็ยังยืนยันที่จะทำตลาดต่อไปแน่นอน โดยจะปรับกลยุทธ์ส่งรถรุ่นโซนาต้าเน้นเจาะตลาดฟลีต หรือกลุ่มลูกค้าองค์กรเป็นหลัก ซึ่งได้มีการเริ่มทดลองและประสบความสำเร็จทีเดียว ดังนั้นในปีนี้จะเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายรุ่นโซนาต้ามารุกตลาดกลุ่มนี้อย่างเต็มที่ และน่าจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นพอสมควร เพราะมีการดูและและให้เงื่อนไขที่ดี ส่วนรุ่นสปอร์ตคูเป้ปีที่แล้วขายได้กว่า 20 คัน ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ แต่ยอดขายหลักๆ ปีนี้ จะอยู่ที่รุ่น H-1 กว่า 80% เช่นเดิม
สำหรับรถยนต์โมเดลใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ นอกจากการปรับความสมบูรณ์ให้กับรุ่น H-1 แล้ว ฮุนไดกำลังพิจารณาที่จะแนะนำรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี 7 ที่นั่งโมเดลใหม่ มาทำตลาดในไทยช่วงปลายปีนี้ โดยจะเป็นรถระดับพรีเมี่ยม ที่ขยับกลุ่มลูกค้าจากรุ่น H-1 วันขึ้นไปอีก ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับดีเช่นกัน และมั่นใจว่าเอ็มพีวีทั้งสองรุ่นของฮุนได จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดอย่าง โฟล์คสวาเกน คาราเวล ได้
ส่วนรถโมเดลอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ตลาด อย่างเก๋งคอมแพ็กต์และซับคอมแพ็กต์ ซึ่งฮุนไดมีแนวคิดจะนำเข้ามาทำตลาดในไทย เพื่อครอบคลุมตลาดทุกเซกเมนท์นั้น แม้จะมียังมีแนวคิดนี้อยู่และในการประชุมเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้มีการพูดถึงรถกลุ่มนี้มาทำตลาดในไทย แต่ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ถือเป็นรถยนต์ที่ได้รับผลกระทบก่อน
ดังนั้นในปีนี้จะไม่มีการนำเข้าเก๋งคอมแพ็กต์รุ่น เอลันตร้า จากมาเลเซียมาทำตลาดในไทย อย่างที่คุราตะประธานฮุนไดไทยแลนด์ เปิดเผยกับ ผู้จัดการมอเตอริ่ง เมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าฮุนไดทิ้งตลาดกลุ่มนี้ เพียงแต่รอจังหวะที่เหมาะสมมากกว่านี้
เช่นเดียวกับรถเล็กที่มีการพิจารณาเช่นกัน แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างประกอบ เช่นเก๋งเล็ก ฮุนได ไอ10 (i10) ที่ประธานคุราตะได้เปิดเผยว่า กำลังพิจารณานำเข้าจากประเทศอินเดียมาทำตลาดในไทย ภายใต้กรอบข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับอินเดีย แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะเปิดเสรีนำเข้ารถยนต์
ฉะนั้นในช่วงปีนี้ฮุนไดจึงมุ่งจับตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือตลาดรถพรีเมี่ยมเป็นหลัก โดยมีรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี 2 รุ่น ในการเป็นหัวหอกบุกตลาด โดยเดือนมีนาคมนี้รุ่นหนึ่ง และปลายปีช่วงงานมอเตอร์เอ็กซ์โปอีกรุ่น ส่วนด้านการบริการลูกค้า จำนวนโชว์รูมและศูนย์บริการปัจจุบันมี 16 แห่ง และปีนี้จะเปิดเพิ่มเป็น 20 แห่ง ซึ่งที่เน้นขยายในตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก เพราะปริมาณโชว์รูมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัจจุบันค่อนข้างครอบคลุมพื้นที่ได้ทั่วถึงพอสมควร
ทีนี้ก็มาลุ้นกันว่า... กลยุทธ์ที่ฮุนไดเชื่อมั่นมาถูกทางแล้ว จะสามารถทำยอดขายได้ตามฝันหรือไม่? แต่ที่แน่ๆ ประเดิมเดือนแรกของปีวัวบ้า ฮุนไดดิ่งเหวไปแล้ว 44% ดังนั้นไม่ถึงสิ้นปีนี้ได้รู้ผลแน่นอน!