จากวันแรกที่บีเอ็มดับเบิลยูเปิดคอนเซ็ปต์ของรถ บีเอ็มดับเบิลยู X5 ซึ่งเป็นรถยนต์ประเภท SAV (Sports Activity Vehicle) เป็นครั้งแรกในงานดีทรอยต์มอเตอร์โชว์เมื่อ ค.ศ.1999 จนกระทั่งถึงวันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยยอดขาย 845,000 คันทั่วโลก และจากผลพวงของ บีเอ็มดับเบิลยู X5 นี่เองที่ทำให้ บีเอ็มดับเบิลยู พัฒนาอย่างต่อเนื่องและเพิ่มรุ่นในตระกูล X อีก 2 รุ่น คือ บีเอ็มดับเบิลยู X3 SAV และ บีเอ็มดับเบิลยู X6 SAC (Sports Activity Coupe)
สำหรับกุญแจแห่งความสำเร็จของ บีเอ็มดับเบิลยู X5 คือ การผสมผสานคุณสมบัติของความสปอร์ต คล่องแคล่ว และปราดเปรียวซึ่งเป็นคุณลักษณะของรถสปอร์ตซีดานเข้ากับความกว้างขวาง สมบุกสมบัน และอเนกประสงค์ของรถประเภท SUV (Sports Utility Vehicle)
ส่งผลให้ บีเอ็มดับเบิลยู X5 แตกต่างจากรถประเภท SUV ทั่วไป ด้วยระบบโครงสร้างตัวถังแบบ Monocoque เหมือนรถเก๋ง ไม่ใช่แบบ Body-on-frame แบบรถบรรทุกที่ตัวถังวางอยู่บนคานแชสซี และระบบช่วงล่างแบบอิสระ รวมทั้งระบบ DSC (Dynamic Stability Control) ระบบ ADB-X (Automatic Differential Brake) และ HDC (Hill Descent Control)
ด้านความปลอดภัยหน่วยงาน Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) ในสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรับรองให้ บีเอ็มดับเบิลยู X5 เจเนอเรชั่นแรก เป็นรถที่ให้ความปลอดภัยสูงที่สุดในการทดสอบการชน และในปีค.ศ. 2003 บีเอ็มดับเบิลยู X5 เป็น SAV ที่ได้รับคะแนนสูงสุดถึง 5 ดาว จากการทดสอบการชนตามมาตรฐาน Euro-NCAP
โดย X5 มากับรหัสตัวถัง E53 ก่อร่างสร้างตัวด้วยชิ้นส่วนจากซีรี่ส์5 รหัส E39 เพื่อการลดต้นทุน สำหรับเครื่องยนต์มีหลายทางเลือกในแบบเบนซิน 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 225 แรงม้า และแบบ วี8สูบ ขนาด 4.0 , 4.6 และ 4.8 ลิตร กำลังสูงสุด 282, 347 และ 350 แรงม้า ตามลำดับ รวมถึงการออกรุ่นเครื่องยนต์ ดีเซล ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 218 แรงม้า
ทำตลาดตั้งแต่ปี 1999 จนกระทั่งปลายปี 2006 ค่ายบีเอ็มดับเบิลยูจึงได้จัดแจงเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ให้เจ้า X5
สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู X5 รุ่นปัจจุบันหรือเจนเนอเรชั่นที่ 2 เผยโฉมภายใต้รหัส E70 ปรับเพิ่มทั้งในเรื่องการเพิ่มเนื้อที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร เติมความหรูหรา รวมไปถึงเทคโนโลยีด้านเครื่องยนต์และนวัตกรรมแชสซี ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ xDrive ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถเพิ่มขึ้นและทำงานร่วมกับระบบ DSC อย่างลงตัว ทำให้การกระจายส่งกำลังไปสู่ล้อหน้าและหลังเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
โดยในโฉมปัจจุบันมากับทางเลือก เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียงขนาด 3.0 ลิตร 260 แรงม้า, แบบวี 8 สูบ 4.8 ลิตร กำลังสูงสุด 350 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบความจุ 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 235 แรงม้า (ขณะที่ในบ้านเรายังทำตลาดกับรุ่นที่มีกำลังเพียง 218 แรงม้า) และดีเซลตัวแรงให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า
เหนืออื่นใด X5 ปัจจุบันมีความประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม ทั้งในส่วนของเครื่องยนต์เบนซินทั้ง 6 และ 8 สูบ และเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ เช่นรุ่น X5 xDrive48i มีอัตราการประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 8.3 กิโลเมตรต่อลิตร ลดลง 13% จากเครื่อง 4.4i ในรุ่นแรก ทั้งๆที่ X5 xDrive48i สามารถผลิตแรงม้าได้มากกว่าถึง 70 แรงม้า ในเวลาเดียวกัน X5 xDrive30i ก็สามารถมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกันรุ่นก่อนหน้า ทั้งที่มีแรงม้ามากกว่ารุ่นแรกถึง 41 แรงม้า
ส่วนของรุ่นดีเซลทำอัตราการประหยัดน้ำมันได้ถึง 12.2 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งดีขึ้นถึง 15% โดยมีแรงม้าเพิ่มขึ้นถึง 51 แรงม้า เมื่อเทียบกันรุ่นก่อนหน้า
ซึ่งความสำเร็จของ บีเอ็มดับเบิลยู X5 โฉมนี้ ได้รับรางวัลมากมายทั้งในด้านการออกแบบ สมรรถนะ คุณภาพ และความปลอดภัย โดยในปีค.ศ. 2007 เพียงปีเดียว บีเอ็มดับเบิลยู X5 ได้รับรางวัลดีไซน์ยอดเยี่ยมจากนิตยสารรถยนต์ auto motor und sport ของประเทศเยอรมัน และรางวัลชนะเลิศด้านความพึงพอใจของลูกค้าในผลิตภัณฑ์จาก J.D. Power อีกทั้งยังครองรางวัลที่ 1 จากนิตรสาร Auto Bild
ในปี 2008 บีเอ็มดับเบิลยู X5 ยังคว้ารางวัลที่ 1 ในฐานะ “The best cars” ซึ่งได้รับจากการโหวตโดยผู้อ่านนิตยสาร auto motor und sport จากทั่วประเทศเยอรมัน อีกทั้งยังได้รางวัล Value Master of the year จากนิตยสาร Auto Bild ส่วน บีเอ็มดับเบิลยู X5 รุ่นปัจจุบันก็ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านความปลอดภัยจากหน่วยงาน Insurance Institute for Highway Safety (IIHS)
ด้วยระยะเวลาเพียง 10 ปีของการทำตลาด X5 กลายเป็นหนึ่งในรถที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดรุ่นหนึ่งของค่ายใบพัดฟ้าขาว และแน่นอนว่าคงจะไม่หยุดการพัฒนาเพียงเท่านี้
สำหรับกุญแจแห่งความสำเร็จของ บีเอ็มดับเบิลยู X5 คือ การผสมผสานคุณสมบัติของความสปอร์ต คล่องแคล่ว และปราดเปรียวซึ่งเป็นคุณลักษณะของรถสปอร์ตซีดานเข้ากับความกว้างขวาง สมบุกสมบัน และอเนกประสงค์ของรถประเภท SUV (Sports Utility Vehicle)
ส่งผลให้ บีเอ็มดับเบิลยู X5 แตกต่างจากรถประเภท SUV ทั่วไป ด้วยระบบโครงสร้างตัวถังแบบ Monocoque เหมือนรถเก๋ง ไม่ใช่แบบ Body-on-frame แบบรถบรรทุกที่ตัวถังวางอยู่บนคานแชสซี และระบบช่วงล่างแบบอิสระ รวมทั้งระบบ DSC (Dynamic Stability Control) ระบบ ADB-X (Automatic Differential Brake) และ HDC (Hill Descent Control)
ด้านความปลอดภัยหน่วยงาน Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) ในสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรับรองให้ บีเอ็มดับเบิลยู X5 เจเนอเรชั่นแรก เป็นรถที่ให้ความปลอดภัยสูงที่สุดในการทดสอบการชน และในปีค.ศ. 2003 บีเอ็มดับเบิลยู X5 เป็น SAV ที่ได้รับคะแนนสูงสุดถึง 5 ดาว จากการทดสอบการชนตามมาตรฐาน Euro-NCAP
โดย X5 มากับรหัสตัวถัง E53 ก่อร่างสร้างตัวด้วยชิ้นส่วนจากซีรี่ส์5 รหัส E39 เพื่อการลดต้นทุน สำหรับเครื่องยนต์มีหลายทางเลือกในแบบเบนซิน 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 225 แรงม้า และแบบ วี8สูบ ขนาด 4.0 , 4.6 และ 4.8 ลิตร กำลังสูงสุด 282, 347 และ 350 แรงม้า ตามลำดับ รวมถึงการออกรุ่นเครื่องยนต์ ดีเซล ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 218 แรงม้า
ทำตลาดตั้งแต่ปี 1999 จนกระทั่งปลายปี 2006 ค่ายบีเอ็มดับเบิลยูจึงได้จัดแจงเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ให้เจ้า X5
สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู X5 รุ่นปัจจุบันหรือเจนเนอเรชั่นที่ 2 เผยโฉมภายใต้รหัส E70 ปรับเพิ่มทั้งในเรื่องการเพิ่มเนื้อที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร เติมความหรูหรา รวมไปถึงเทคโนโลยีด้านเครื่องยนต์และนวัตกรรมแชสซี ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะ xDrive ได้รับการพัฒนาให้มีความสามารถเพิ่มขึ้นและทำงานร่วมกับระบบ DSC อย่างลงตัว ทำให้การกระจายส่งกำลังไปสู่ล้อหน้าและหลังเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
โดยในโฉมปัจจุบันมากับทางเลือก เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียงขนาด 3.0 ลิตร 260 แรงม้า, แบบวี 8 สูบ 4.8 ลิตร กำลังสูงสุด 350 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบความจุ 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 235 แรงม้า (ขณะที่ในบ้านเรายังทำตลาดกับรุ่นที่มีกำลังเพียง 218 แรงม้า) และดีเซลตัวแรงให้กำลังสูงสุด 286 แรงม้า
เหนืออื่นใด X5 ปัจจุบันมีความประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม ทั้งในส่วนของเครื่องยนต์เบนซินทั้ง 6 และ 8 สูบ และเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ เช่นรุ่น X5 xDrive48i มีอัตราการประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 8.3 กิโลเมตรต่อลิตร ลดลง 13% จากเครื่อง 4.4i ในรุ่นแรก ทั้งๆที่ X5 xDrive48i สามารถผลิตแรงม้าได้มากกว่าถึง 70 แรงม้า ในเวลาเดียวกัน X5 xDrive30i ก็สามารถมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกันรุ่นก่อนหน้า ทั้งที่มีแรงม้ามากกว่ารุ่นแรกถึง 41 แรงม้า
ส่วนของรุ่นดีเซลทำอัตราการประหยัดน้ำมันได้ถึง 12.2 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งดีขึ้นถึง 15% โดยมีแรงม้าเพิ่มขึ้นถึง 51 แรงม้า เมื่อเทียบกันรุ่นก่อนหน้า
ซึ่งความสำเร็จของ บีเอ็มดับเบิลยู X5 โฉมนี้ ได้รับรางวัลมากมายทั้งในด้านการออกแบบ สมรรถนะ คุณภาพ และความปลอดภัย โดยในปีค.ศ. 2007 เพียงปีเดียว บีเอ็มดับเบิลยู X5 ได้รับรางวัลดีไซน์ยอดเยี่ยมจากนิตยสารรถยนต์ auto motor und sport ของประเทศเยอรมัน และรางวัลชนะเลิศด้านความพึงพอใจของลูกค้าในผลิตภัณฑ์จาก J.D. Power อีกทั้งยังครองรางวัลที่ 1 จากนิตรสาร Auto Bild
ในปี 2008 บีเอ็มดับเบิลยู X5 ยังคว้ารางวัลที่ 1 ในฐานะ “The best cars” ซึ่งได้รับจากการโหวตโดยผู้อ่านนิตยสาร auto motor und sport จากทั่วประเทศเยอรมัน อีกทั้งยังได้รางวัล Value Master of the year จากนิตยสาร Auto Bild ส่วน บีเอ็มดับเบิลยู X5 รุ่นปัจจุบันก็ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านความปลอดภัยจากหน่วยงาน Insurance Institute for Highway Safety (IIHS)
ด้วยระยะเวลาเพียง 10 ปีของการทำตลาด X5 กลายเป็นหนึ่งในรถที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดรุ่นหนึ่งของค่ายใบพัดฟ้าขาว และแน่นอนว่าคงจะไม่หยุดการพัฒนาเพียงเท่านี้