หลังแยกทางกันเดินออกเป็นสามสาย สำหรับพี่น้อง“ลีนุตพงษ์” โดยสายใหญ่อย่าง“สรวิศย์-วิเชียร” ยังดำเนินงานภายใต้ ยนตรกิจ คอร์ปอเรชัน ดูแลรถในเครือทั้ง ออดี้ ซีตรอง เซียท สโกด้า เกีย นาซ่า มิตซูโอกะ ส่วน"พลกฤษณ์-พสุพงษ์” ไปบริหาร ยนตรกิจ ออโตโมบิล กับแบรนด์เปอโยต์ ขณะที่ “เสี่ยวิทิต” ควงโฟล์กสวาเกน ออกมาทำตลาด ภายใต้บริษัท ไทยยานยนต์กรุ๊ป
วันนี้ของ “วิทิต ลีนุตพงษ์” ที่แยกออกมาบริหารงานอย่างอิสระ พร้อมศักยภาพ ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ และล่าสุดจัดการรีแบรนด์ดิ้ง พร้อมจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการตัดสินใจลุยตลาดรถจีนยี่ห้อ “เฌอรี่”(ใช้ “ฌ”) จึงน่าสนใจว่า แผนธุรกิจและทิศทางจากนี้จะเป็นอย่างไร...“ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” เปิดใจ“เสี่ยวิทิต” ที่วันนี้(13 ม.ค.)จัดงานแถลงข่าวครั้งแรก หลังแยกบ้านออกมาลุยเดี่ยว

ไทยยานยนตร์ดำเนินธุรกิจอะไรบ้าง
เราปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และแบ่งการดำเนินงานออกเป็นสองธุรกิจหลักคือ สายการค้า และสายการผลิต โดยสายงานแรก จะเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์โฟล์กสวาเกนและเฌอรี่ รวมถึงธุรกิจสาขาที่เป็นของ โฟล์กฯเอง 7 แห่ง และดีลเลอร์ บีเอ็มดับเบิลยู(บาร์เซโลนา มอเตอร์) 3 แห่ง มิตซูบิชิ 1 แห่ง และเร็วๆนี้จะมี ฟอร์ด-มาสด้า เตรียมเปิดโชว์รูมที่ร่มเกล้า ขณะที่สายงานการผลิตประกอบด้วย โรงงานประกอบรถยนต์ YMC และโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ATP
สำหรับการบริหาร เราพยายามจะให้บรรดาพี่น้องต้องไปนั่งอยู่ในบอร์ดบริหารทั้งหมด มีหน้าที่กำกับดูแล ให้นโยบาย โดยมีกรรมการผู้จัดการ 5 คน ที่แบ่งแยกความรับผิดชอบชัดเจน อย่างแบรนด์ โฟล์กสวาเกน จะมี “รณชัย จินวัฒนาภรณ์” ส่วนน้องใหม่ เฌอรี่ เป็น “ดำรง ดำรงกุลวัฒน์” ด้าน “สิทธิ เศรษฐวีรวัฒน์” กับสายค้าปลีก กิจการสาขา รวมถึงสาย ธุรกิจอะไหล่ และสายโรงงาน เป็นของ “ประสิทธิ์พร ธนกุลกิจไพศาล” และ “ธนยุทธ เตชะเสน” ตามลำดับ
“การบริหารจะเป็นแบบมืออาชีพมาขึ้น ไม่ใช่ว่าใครเป็นเด็กของเสี่ยคนไหนแล้ว จะได้โปรโมทเร็ว เพราะพ.ศ.นี้ต้องวัดกันที่ความสารมารถ มีการประเมินผลชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามเราก็พยายามดูแลพนักงานทุกคนให้เหมือนครอบครัวเดียวกัน”

รีแบรนด์ใหม่
“Driving Forward” คือพันธกิจของไทยยานยนตร์ โดยมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจที่เรามีความเชี่ยวชาญ นั่นคืออุตสาหกรรมยานยนต์ ที่สำคัญคือการสร้างบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ มีความสามารถ เพื่อตอบสนองความพอใจของลูกค้าได้สูงที่สุด อันจะส่งผลกลับมาที่ความเชื่อมั่นของบริษัท
ส่วนโลโก้ใหม่นั้น ออกแบบโดยมืออาชีพ และสื่อถึงความมีพลัง ไม่ว่าจะเป็นปีกสองข้างที่เราเชื่อมโยงกับ “พญาครุฑ” ที่เราได้รับพระราชทานตราตั้ง ส่วนรูปคล้ายๆมงกุฎอยู่ตรงกลางจริงๆแล้วถ้ากลับหัวก็คือ “ลูกสูบ” ซึ่งถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์และรถยนต์ ตรงกับคอนเซปต์“Driving Forward” ดังนั้นเราและพนักงานทุกคนจึงภูมิใจกับ ตราโลโก้ใหม่และยืนยันว่าไม่ได้เลียนแบบใคร
เกี่ยวกับโฟล์กสวาเกน
ปีก่อนเราขายโฟล์กสวาเกน ไปกว่า 400 คัน และเป็นรถตู้หรู “คาราเวล”ทั้งหมด แต่ปีนี้การบริหารงานลงตัวขึ้น พร้อมนำรถยนต์รุ่นใหม่เสริมตลาด 4-5 รุ่น เช่น พาสสาท ซีซี,ซิรอคโค, บีเทิ้ล และกอล์ฟ เราจึงตั้งเป้าขายรวมถึง 950 คัน แบ่งเป็นรถตู้ 500 คัน และเก๋ง 450 คัน

แผนธุรกิจ “เฌอรี่”
อุตสาหกรรมยานยนต์จีนมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ที่สำคัญมีแบรนด์รถยนต์มากกว่า 100 ยี่ห้อ ซึ่งผมและทีมงานใช้เวลาศึกษาและเจรจากว่า 3 ปี ถึงได้รับความมั่นใจจากเฌอรี่ และเซ็นสัญญาเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย
"เฌอรี่ เป็นผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่อันดับ4 ของจีน และเราเชื่อมั่นในความเข้มแข็ง ทั้งด้านการเงินที่รัฐบาลจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คุณภาพและสมรรถนะที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากยุโรป ด้านการออกแบบใช้สำนักอิตัล ดีไซน์ จากอิตาลี"
ทั้งนี้คาดว่ากลังการเปิดตัวในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2009 เดือนมีนาคม จะได้การตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างดี โดยจะมีรถยนต์ทำตลาดในช่วงแรก 3 รุ่นคือ ซิตี้คาร์ “คิวคิว” และเอสยูวี 5 ที่นั่ง รุ่น “ทิกโก้” รวมถึง เอ็มพีวี 7 ที่นั่งรุ่น “ครอส” และบริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมทุกรุ่น 3,000-5,000ต่อปี”
สำหรับบริษัท ไทยเฌอรี่ยานยนตร์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนระหว่าง ไทยยานยนตร์และเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี โดยถือหุ้นสัดส่วน 50/50 และตามข้อตกลงคือ ทางซีพีจะดูแลด้านการเงิน บัญชี รวมทั้งการประสานสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับสูงของ เฌอรี่อินเตอร์เนชันเนล ประเทศจีน ขณะที่ไทยยานยนตร์ จะดูแลด้านการตลาดและการขายทั้งหมด ทั้งนี้บริษัทกำลังอยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมขึ้นไลน์ผลิต เฌอรี่ในไทยเช่นกัน
ทำไมใช้ชื่อเฌอรี่ใช้ “ฌ”
ต้องยอมรับว่า เฌอรี่เป็นรถยนต์น้องใหม่ ดังนั้นเราก็พยายามสร้างมูลค่าของแบรนด์ และสร้างการยอมรับ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในวัยทำงาน และกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะฉะนั้นจึงใช้“ฌ” ที่ทำให้ชื่อดูเท่และแปลกตา

“เฌอรี่”ต้องสู้กับรถจีน“จีลี่”ที่ทำตลาดโดยยนตรกิจ คอร์ป
“ลีนุตพงษ์”เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ในแง่ธุรกิจต้องมีการแข่งขันเป็นธรรมดา เพราะถ้าเราไม่แข่งกันเองก็ต้องแข่งกับคนอื่นอยู่ดี
จะเป็นดิสทริบิวเตอร์รถยนต์ยี่ห้ออื่นอีกหรือไม่
จริงๆการมีแบรนด์เยอะๆในมือ ใช่ว่าจะดีเสมอไป ยิ่งช่วงเศรษฐกิจแบบนี้จะลงทุนอะไรต้องระมัดระวัง ผู้ประกอบการต้องฉลาด ลงทุนด้วยความรอบคอบ ไม่เป็นหนี้เป็นสินดีที่สุด

เป้าหมายของไทยยานยนตร์
แน่นอนว่าต้องสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง สร้างชื่อไทยยานยนตร์ ให้เป็นที่ยอมรับ จากทั้งเจ้าของแบรนด์ และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า อย่างไรก็ตามเรามีแผนขยายสาขาเพิ่มโชว์รูม เป็น 20-30 แห่งในอนาคต และคงเป็นดีลเลอร์ในรถหลายๆยี่ห้อ เพื่อความหลากหลาย และเพิ่มประสิทธิภาพพนักงานไปในตัว
“อย่างที่รู้กันว่า ธุรกิจจากการบริการหลังการขาย ค่อนข้างดีและมั่นคง รายได้ไม่หวือหวาแต่มีเข้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าเรามีความพร้อมก็เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน”
....ทั้งหมดเป็นวิสัยทัศน์ ของ“วิทิต ลีนุตพงษ์” กับการบริหารไทยยานยนตร์ ยุคใหม่ ที่จะไฉไลแค่ไหนต้องคอยติดตาม และหนึ่งในตัวชี้วัดนั่นคือยอดรายได้ ดังนั้นเมื่อนักข่าวถามว่ายอดรวมทั้งธุรกิจปีนี้จะเป็นเท่าไหร่ “เฮีย วิทิต”ตอบแบบเนิบๆว่า...ไม่น่าจะถึง 1หมื่นล้านบาท!
วันนี้ของ “วิทิต ลีนุตพงษ์” ที่แยกออกมาบริหารงานอย่างอิสระ พร้อมศักยภาพ ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือ และล่าสุดจัดการรีแบรนด์ดิ้ง พร้อมจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการตัดสินใจลุยตลาดรถจีนยี่ห้อ “เฌอรี่”(ใช้ “ฌ”) จึงน่าสนใจว่า แผนธุรกิจและทิศทางจากนี้จะเป็นอย่างไร...“ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” เปิดใจ“เสี่ยวิทิต” ที่วันนี้(13 ม.ค.)จัดงานแถลงข่าวครั้งแรก หลังแยกบ้านออกมาลุยเดี่ยว
ไทยยานยนตร์ดำเนินธุรกิจอะไรบ้าง
เราปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และแบ่งการดำเนินงานออกเป็นสองธุรกิจหลักคือ สายการค้า และสายการผลิต โดยสายงานแรก จะเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์โฟล์กสวาเกนและเฌอรี่ รวมถึงธุรกิจสาขาที่เป็นของ โฟล์กฯเอง 7 แห่ง และดีลเลอร์ บีเอ็มดับเบิลยู(บาร์เซโลนา มอเตอร์) 3 แห่ง มิตซูบิชิ 1 แห่ง และเร็วๆนี้จะมี ฟอร์ด-มาสด้า เตรียมเปิดโชว์รูมที่ร่มเกล้า ขณะที่สายงานการผลิตประกอบด้วย โรงงานประกอบรถยนต์ YMC และโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ATP
สำหรับการบริหาร เราพยายามจะให้บรรดาพี่น้องต้องไปนั่งอยู่ในบอร์ดบริหารทั้งหมด มีหน้าที่กำกับดูแล ให้นโยบาย โดยมีกรรมการผู้จัดการ 5 คน ที่แบ่งแยกความรับผิดชอบชัดเจน อย่างแบรนด์ โฟล์กสวาเกน จะมี “รณชัย จินวัฒนาภรณ์” ส่วนน้องใหม่ เฌอรี่ เป็น “ดำรง ดำรงกุลวัฒน์” ด้าน “สิทธิ เศรษฐวีรวัฒน์” กับสายค้าปลีก กิจการสาขา รวมถึงสาย ธุรกิจอะไหล่ และสายโรงงาน เป็นของ “ประสิทธิ์พร ธนกุลกิจไพศาล” และ “ธนยุทธ เตชะเสน” ตามลำดับ
“การบริหารจะเป็นแบบมืออาชีพมาขึ้น ไม่ใช่ว่าใครเป็นเด็กของเสี่ยคนไหนแล้ว จะได้โปรโมทเร็ว เพราะพ.ศ.นี้ต้องวัดกันที่ความสารมารถ มีการประเมินผลชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามเราก็พยายามดูแลพนักงานทุกคนให้เหมือนครอบครัวเดียวกัน”
รีแบรนด์ใหม่
“Driving Forward” คือพันธกิจของไทยยานยนตร์ โดยมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจที่เรามีความเชี่ยวชาญ นั่นคืออุตสาหกรรมยานยนต์ ที่สำคัญคือการสร้างบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ มีความสามารถ เพื่อตอบสนองความพอใจของลูกค้าได้สูงที่สุด อันจะส่งผลกลับมาที่ความเชื่อมั่นของบริษัท
ส่วนโลโก้ใหม่นั้น ออกแบบโดยมืออาชีพ และสื่อถึงความมีพลัง ไม่ว่าจะเป็นปีกสองข้างที่เราเชื่อมโยงกับ “พญาครุฑ” ที่เราได้รับพระราชทานตราตั้ง ส่วนรูปคล้ายๆมงกุฎอยู่ตรงกลางจริงๆแล้วถ้ากลับหัวก็คือ “ลูกสูบ” ซึ่งถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์และรถยนต์ ตรงกับคอนเซปต์“Driving Forward” ดังนั้นเราและพนักงานทุกคนจึงภูมิใจกับ ตราโลโก้ใหม่และยืนยันว่าไม่ได้เลียนแบบใคร
เกี่ยวกับโฟล์กสวาเกน
ปีก่อนเราขายโฟล์กสวาเกน ไปกว่า 400 คัน และเป็นรถตู้หรู “คาราเวล”ทั้งหมด แต่ปีนี้การบริหารงานลงตัวขึ้น พร้อมนำรถยนต์รุ่นใหม่เสริมตลาด 4-5 รุ่น เช่น พาสสาท ซีซี,ซิรอคโค, บีเทิ้ล และกอล์ฟ เราจึงตั้งเป้าขายรวมถึง 950 คัน แบ่งเป็นรถตู้ 500 คัน และเก๋ง 450 คัน
แผนธุรกิจ “เฌอรี่”
อุตสาหกรรมยานยนต์จีนมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ที่สำคัญมีแบรนด์รถยนต์มากกว่า 100 ยี่ห้อ ซึ่งผมและทีมงานใช้เวลาศึกษาและเจรจากว่า 3 ปี ถึงได้รับความมั่นใจจากเฌอรี่ และเซ็นสัญญาเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย
"เฌอรี่ เป็นผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่อันดับ4 ของจีน และเราเชื่อมั่นในความเข้มแข็ง ทั้งด้านการเงินที่รัฐบาลจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คุณภาพและสมรรถนะที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากยุโรป ด้านการออกแบบใช้สำนักอิตัล ดีไซน์ จากอิตาลี"
ทั้งนี้คาดว่ากลังการเปิดตัวในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2009 เดือนมีนาคม จะได้การตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างดี โดยจะมีรถยนต์ทำตลาดในช่วงแรก 3 รุ่นคือ ซิตี้คาร์ “คิวคิว” และเอสยูวี 5 ที่นั่ง รุ่น “ทิกโก้” รวมถึง เอ็มพีวี 7 ที่นั่งรุ่น “ครอส” และบริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมทุกรุ่น 3,000-5,000ต่อปี”
สำหรับบริษัท ไทยเฌอรี่ยานยนตร์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนระหว่าง ไทยยานยนตร์และเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี โดยถือหุ้นสัดส่วน 50/50 และตามข้อตกลงคือ ทางซีพีจะดูแลด้านการเงิน บัญชี รวมทั้งการประสานสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับสูงของ เฌอรี่อินเตอร์เนชันเนล ประเทศจีน ขณะที่ไทยยานยนตร์ จะดูแลด้านการตลาดและการขายทั้งหมด ทั้งนี้บริษัทกำลังอยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมขึ้นไลน์ผลิต เฌอรี่ในไทยเช่นกัน
ทำไมใช้ชื่อเฌอรี่ใช้ “ฌ”
ต้องยอมรับว่า เฌอรี่เป็นรถยนต์น้องใหม่ ดังนั้นเราก็พยายามสร้างมูลค่าของแบรนด์ และสร้างการยอมรับ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในวัยทำงาน และกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะฉะนั้นจึงใช้“ฌ” ที่ทำให้ชื่อดูเท่และแปลกตา
“เฌอรี่”ต้องสู้กับรถจีน“จีลี่”ที่ทำตลาดโดยยนตรกิจ คอร์ป
“ลีนุตพงษ์”เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ในแง่ธุรกิจต้องมีการแข่งขันเป็นธรรมดา เพราะถ้าเราไม่แข่งกันเองก็ต้องแข่งกับคนอื่นอยู่ดี
จะเป็นดิสทริบิวเตอร์รถยนต์ยี่ห้ออื่นอีกหรือไม่
จริงๆการมีแบรนด์เยอะๆในมือ ใช่ว่าจะดีเสมอไป ยิ่งช่วงเศรษฐกิจแบบนี้จะลงทุนอะไรต้องระมัดระวัง ผู้ประกอบการต้องฉลาด ลงทุนด้วยความรอบคอบ ไม่เป็นหนี้เป็นสินดีที่สุด
เป้าหมายของไทยยานยนตร์
แน่นอนว่าต้องสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง สร้างชื่อไทยยานยนตร์ ให้เป็นที่ยอมรับ จากทั้งเจ้าของแบรนด์ และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า อย่างไรก็ตามเรามีแผนขยายสาขาเพิ่มโชว์รูม เป็น 20-30 แห่งในอนาคต และคงเป็นดีลเลอร์ในรถหลายๆยี่ห้อ เพื่อความหลากหลาย และเพิ่มประสิทธิภาพพนักงานไปในตัว
“อย่างที่รู้กันว่า ธุรกิจจากการบริการหลังการขาย ค่อนข้างดีและมั่นคง รายได้ไม่หวือหวาแต่มีเข้ามาเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าเรามีความพร้อมก็เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน”
....ทั้งหมดเป็นวิสัยทัศน์ ของ“วิทิต ลีนุตพงษ์” กับการบริหารไทยยานยนตร์ ยุคใหม่ ที่จะไฉไลแค่ไหนต้องคอยติดตาม และหนึ่งในตัวชี้วัดนั่นคือยอดรายได้ ดังนั้นเมื่อนักข่าวถามว่ายอดรวมทั้งธุรกิจปีนี้จะเป็นเท่าไหร่ “เฮีย วิทิต”ตอบแบบเนิบๆว่า...ไม่น่าจะถึง 1หมื่นล้านบาท!