ข่าวในประเทศ - ผู้นำตลาดแบตเตอรี่ “ยีเอส” เมินเศรษฐกิจซบ ผลประกอบปีนี้พุ่ง 7,900 ล้านบาท เติบโต 25% มั่นใจปีหน้าดันยอดขายตลาดทดแทน และส่งออกเติบโตต่อเนื่อง 5-7% เหตุลุยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และลดราคาลงอีก 11% ช่วยฉุดตลาดส่งโรงงานประกอบรถยนต์ที่ลดลง
ประกาสิทธิ์ พรประภา รักษาการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้จำหน่ายแบตเตอรี่ “ยีเอส” เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจแบตเตอรี่ยีเอสในไทยในปีนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จ มียอดขายเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ทั้งในส่วนของบริษัทฯ และโรงงานสยามยีเอสแบตเตอรี่ แม้ว่าจะประสบปัญหาต้นทุนวัตถุดิบและราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นก็ตาม
“ในปีนี้คาดว่าผลประกอบการของทั้งสองบริษัท น่าจะอยู่ที่ประมาณ 7,900 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้รวมกว่า 6,400 ล้านบาท แบ่งเป็นสยามยีเอสเซลส์จำนวน 2,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% และโรงงานสยามยีเอสแบตเตอรี่ 5,000 ล้านบาท เติบโต 25% ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจปี 2552 จะตกต่ำลง แต่ในส่วนของยอดขายตลาดในประเทศและส่งออก จะเติบโตต่อเนื่อง 5-7% มีเพียงตลาดส่งโรงงานประกอบรถยนต์ หรือ OEM ที่จะลดลงตามกำลังการผลิตของบริษัทรถยนต์ ทำให้ภาพรวมของยีเอสแบตเตอรี่ปีหน้า น่าจะมีผลการดำเนินงานลดลงเล็กน้อย หรืออยู่ที่ประมาณ 7,100 ล้านบาท”
นายเกริกกิจ เรืองปะตาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า แม้สภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีหน้าจะตกต่ำลง แต่แบตเตอรี่เป็นสินค้าจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน ตลาดรถที่ตกลงปีนี้หรือปีหน้า จึงไม่มีผลต่อตลาดแบตเตอรี่แบบทดแทน หรือ REM แต่อย่างใด เพราะรถยนต์อายุประมาณ 2 ปีขึ้นไป จะเป็นกลุ่มที่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดยังเติบโตอยู่
“แต่สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อาจจะทำให้ลูกค้าชะลอการเปลี่ยนช้าลงบ้าง แต่ถึงที่สุดก็ต้องเปลี่ยน และที่สำคัญบริษัทฯ มีกลยุทธ์ที่จะผลักดันยอดขาย ทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ ยีเอสจะลดราคาแบตเตอรี่ลงอีก 11% จากราคาวัตถุดิบตะกั่วและน้ำมันลดลง หลังจากที่เพิ่งปรับลดลงเมื่อไม่นาน 15% ซึ่งตรงนี้จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเปลี่ยนแบตเตอรี่ง่ายขึ้น ทำให้บริษัทฯ มั่นใจยอดขายแบตเตอรี่ทดแทนจะเติบโต 5-7% หรือมียอดขายในปีหน้า 3,100 ล้านบาท”
นายวิชิต บัวศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามยีเอสเบตเตอรี่ จำกัด โรงงานผลิตเบตเตอรี่ “ยีเอส” เปิดเผยว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกจนเกิดส่งผลกระทบไปทั่ว ทำให้โรงงานได้รับผลกระทบในส่วนของตลาด OEM จากการปรับลดกำลังการผลิตของบริษัทรถยนต์ ซึ่งคาดว่าจะลดลงประมาณ 20% แต่ตลาดส่งออกต่างประเทศของยีเอสยังคงไปได้ด้วยดี น่าจะเพิ่มขึ้น 5% ทำให้ผลประกอบการรวมของโรงงานน่าจะอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท
ประกาสิทธิ์ พรประภา รักษาการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้จำหน่ายแบตเตอรี่ “ยีเอส” เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจแบตเตอรี่ยีเอสในไทยในปีนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จ มียอดขายเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ทั้งในส่วนของบริษัทฯ และโรงงานสยามยีเอสแบตเตอรี่ แม้ว่าจะประสบปัญหาต้นทุนวัตถุดิบและราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นก็ตาม
“ในปีนี้คาดว่าผลประกอบการของทั้งสองบริษัท น่าจะอยู่ที่ประมาณ 7,900 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้รวมกว่า 6,400 ล้านบาท แบ่งเป็นสยามยีเอสเซลส์จำนวน 2,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% และโรงงานสยามยีเอสแบตเตอรี่ 5,000 ล้านบาท เติบโต 25% ทั้งนี้แม้เศรษฐกิจปี 2552 จะตกต่ำลง แต่ในส่วนของยอดขายตลาดในประเทศและส่งออก จะเติบโตต่อเนื่อง 5-7% มีเพียงตลาดส่งโรงงานประกอบรถยนต์ หรือ OEM ที่จะลดลงตามกำลังการผลิตของบริษัทรถยนต์ ทำให้ภาพรวมของยีเอสแบตเตอรี่ปีหน้า น่าจะมีผลการดำเนินงานลดลงเล็กน้อย หรืออยู่ที่ประมาณ 7,100 ล้านบาท”
นายเกริกกิจ เรืองปะตาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า แม้สภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีหน้าจะตกต่ำลง แต่แบตเตอรี่เป็นสินค้าจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน ตลาดรถที่ตกลงปีนี้หรือปีหน้า จึงไม่มีผลต่อตลาดแบตเตอรี่แบบทดแทน หรือ REM แต่อย่างใด เพราะรถยนต์อายุประมาณ 2 ปีขึ้นไป จะเป็นกลุ่มที่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดยังเติบโตอยู่
“แต่สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อาจจะทำให้ลูกค้าชะลอการเปลี่ยนช้าลงบ้าง แต่ถึงที่สุดก็ต้องเปลี่ยน และที่สำคัญบริษัทฯ มีกลยุทธ์ที่จะผลักดันยอดขาย ทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และเดือนมกราคมที่จะถึงนี้ ยีเอสจะลดราคาแบตเตอรี่ลงอีก 11% จากราคาวัตถุดิบตะกั่วและน้ำมันลดลง หลังจากที่เพิ่งปรับลดลงเมื่อไม่นาน 15% ซึ่งตรงนี้จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเปลี่ยนแบตเตอรี่ง่ายขึ้น ทำให้บริษัทฯ มั่นใจยอดขายแบตเตอรี่ทดแทนจะเติบโต 5-7% หรือมียอดขายในปีหน้า 3,100 ล้านบาท”
นายวิชิต บัวศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามยีเอสเบตเตอรี่ จำกัด โรงงานผลิตเบตเตอรี่ “ยีเอส” เปิดเผยว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลกจนเกิดส่งผลกระทบไปทั่ว ทำให้โรงงานได้รับผลกระทบในส่วนของตลาด OEM จากการปรับลดกำลังการผลิตของบริษัทรถยนต์ ซึ่งคาดว่าจะลดลงประมาณ 20% แต่ตลาดส่งออกต่างประเทศของยีเอสยังคงไปได้ด้วยดี น่าจะเพิ่มขึ้น 5% ทำให้ผลประกอบการรวมของโรงงานน่าจะอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท
