ข่าวในประเทศ - ยุคแห่งการ Change เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ค่าย มาสด้า จึงเร่งปรับตัวเดินหน้าวิ่งสู้ฟัดเต็มที่ เริ่มตั้งแต่เร่งปั้นยอดขายช่วงโค้งสุดท้ายของปี ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 ที่อัดแคมเปญดันยอดสุดๆ พร้อมแนะนำปิกอัพ "บีที-50 สปอร์ต ซีรี่ส์" ให้กับผู้ที่ชอบแตกต่าง ก่อนจะเขย่าตลาดต่อเนื่องในปีหน้า กับการเปิดตัวสปอร์ตโรดสเตอร์ยอดนิยม "เอ็มเอ็กซ์-5" จากนั้นช่วงกลางปีเป็นครอสโอเวอร์ "ซีเอ็กซ์-9" ก่อนจะถึงคิวของไฮไลต์สำคัญปลายปี "มาสด้า 2" ซึ่งจะเป็นรถยนต์ตัวธงคู่กับปิกอัพ และดึงสัดส่วนยอดขายเก๋งมาอยู่ระดับเดียวกับปิกอัพ และผลักดันให้มาอยู่แถวหน้าตลาดรถยนต์ไทย งานนี้เพื่อรองรับการเติบโต จึงทำการปรับทั้งโครงสร้างการบริหาร เครือข่ายการขาย และภาพลักษณ์สินค้าใหม่
ในปีหน้า 2552 บรรดาเซียนทางเศรษฐกิจต่างพยากรณ์กันไว้แล้วว่า เศรษฐกิจไทยจะสู่เชิงตะกอนเผาจริง นั่นย่อมส่งผลต่อตลาดรถยนต์ไทยไปด้วย แต่สำหรับบางค่ายอย่าง "มาสด้า" นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง หรือ "Change" เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มาสด้าเตรียมที่จะเดินหน้าสู้ฟัดแล้ว ทั้งในเรื่องสินค้าใหม่ การรุกตลาด รวมถึงการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ และโครงสร้างองค์กรใหม่
หลังจากส่ง "มาสด้า3" ไมเนอร์เชนจ์สู่ตลาด ไปเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี ประกอบกับแผนการเตรียมรุกตลาดมากขึ้น ทำให้มาสด้าในประเทศไทยขอโควต้า มาสด้า 3 เพิ่มจากบริษัทแม่ มาสด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เป็นเดือนละ 450-500 คัน จากเดิมที่ได้รับเพียงไม่เกิน 300 คันต่อเดือน ซึ่งก็นับบรรลุเป้าหมายไปด้วยดี และคราวนี้เป็นทีของปิกอัพตัวเก่ง "บีที-50" ที่จะมาสร้างยอดขายให้กับมาสด้า
โดยในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 ที่จะเริ่มขึ้นในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ณ อาคารชาลเลนเจอร์ เมืองทองธานี มาสด้านอกจากแนะนำรถยนต์ต้นแบบ "ตาอิกิ (TAIKI)" รถสปอร์ตแห่งอนาคต รุ่นที่ 4 ในดีไซน์ของ "นากาเร" ที่นำธีมเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวมาขยายผล เพื่อสร้างรูปลักษณ์ใหม่เช่นเดียวกับการสะท้อนให้เห็นภาพของชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกไว้ ซึ่งเป็นความหมายของคำว่า ตาอิกิ ในภาษาญี่ปุ่นมาจัดแสดงแล้ว
ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 มาสด้ายังได้มีการแนะนำปิกอัพ "บีที-50 สปอร์ต ซีรี่ส์" ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นตกแต่งพิเศษสไตล์สปอร์ต โดยมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น ได้แก่ บีที-50 รุ่นดับเบิลแค็บ และบีที-50 รุ่นแค็บเปิดได้ และเนื่องด้วยเป็นรุ่นพิเศษ หรือลิมิเต็ดอิดิชั่น มาสด้าจึงผลิตออกมาจำกัด ซึ่งในรุ่นดับเบิลแค็บมีเพียง 10 คัน และรุ่นแค็บเปิดได้ 100 คันเท่านั้น ในส่วนของสนนราคาปรับเพิ่มเพียงไม่กี่หมื่นบาท
นอกจากนี้มาสด้ายังมอบสิทธิพิเศษ ให้ผู้บริโภคได้เป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้าได้ง่ายขึ้น จึงมอบคูปองน้ำมันมูลค่า 100,000 บาท หรือเลือกรับดอกเบี้ย 0% ฟรีประกันภัยชั้น 1 สำหรับปิกอัพมาสด้า บีที-50 และรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 รับดอกเบี้ยต่ำสุดเพียง 2.99 ฟรีประกันชั้นภัย 1 ฟรีค่าบำรุงรักษานานถึง 3 ปี หรือ 100,000 ก.ม. โดยแคมเปญเริ่มแล้ววันนี้ไม่ต้องรอถึงงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป
เรียกว่าสินค้าหลักๆ ของมาสด้า มีมาให้เลือกได้ครอบคลุมทุกโมเดล แม้จะไม่ถึงกับเป็นโฉมใหม่ แต่ก็น่าจะเรียกร้องความสนใจจากลูกค้าได้เป็นอย่างดี และถือเป็นการปูพรมสร้างกระแสต่อเนื่อง เพราะในปีหน้าที่จะถึงนี้เป็นปีแห่งการรุกตลาดอย่างหนักของมาสด้า เพราะจะมีสินค้าใหม่ๆ แนะนำสู่ตลาดไม่ได้ขาด รวมถึงการปรับภาพลักษณ์และโครงสร้างธุรกิจ เพื่อรองรับแผนการบุกตลาดครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้
จากการเจาะเข้าไปตรวจสอบแผนธุรกิจของมาสด้าในปี 2552 ที่จะถึงนี้ ได้มีการเริ่มโหมโรงกันตั้งแต่ต้นปีเลย กับการเปิดตัวสปอร์ตชื่อดัง "เอ็มเอ็กซ์-5" ซึ่งเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์ยอดนิยม และในเมืองไทยก็มีแฟนพันธุ์แท้เป็นจำนวนมาก ถือเป็นรุ่นเฉพาะกลุ่มที่สร้างยอดขายให้กับมาสด้าได้พอสมควร
ทั้งนี้มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 ใหม่ เป็นการไมเนอร์เชนจ์สู่ตลาด และจะเริ่มทำตลาดในญี่ปุ่น (ชื่อรุ่นโรดสเตอร์) ช่วงปลายปีนี้ และจากนั้นต้นปีหน้าจะทำตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยรูปลักษณ์ภายนอกของรุ่นปรับโฉมได้รับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากรุ่นเดิมพอสมควร มีการเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ ที่ได้รับการออกแบบให้สปอร์ตขึ้น รวมถึงไฟหน้าทรงใหม่มีความเพรียวขึ้น และที่แก้มตัวถังด้านข้างมีติดตั้งไฟเลี้ยวเอาไว้ ในขณะที่รุ่นก่อนปรับโฉมไม่มี พร้อมล้อแม็กลายใหม่ทั้งขนาด 16 และ 17 นิ้ว ขึ้นกับรุ่นย่อย เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มากับไฟท้าย และกันชนท้ายลายใหม่ สวยปราดเปรียวขึ้น
จากนั้นในช่วงกลางปีจะเป็นรถครอสโอเวอร์ "มาสด้า ซีเอ็กซ์-9" เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าที่ชื่นชอบความแตกต่าง แม้มาสด้าจะไม่ได้หวังยอดขายเป็นกอบเป็นกำ เพราะเป็นรถเฉพาะกลุ่มที่มียอดขายไม่มากนัก แต่มาสด้านำเข้ามาเพื่อจะสร้างภาพลักษณ์สินค้า ซึ่งถือเป็นรถใหญ่ที่แสดงเทคโนโลยีของมาสด้าได้ดีทีเดียว
แต่ไฮไลต์สำคัญของมาสด้าในปีหน้า จริงๆ น่าจะเป็นซับคอมแพ็กต์คาร์ ที่หลายคนเฝ้ารอคอยมานาน นั่นก็คือ "มาสด้า2" ซึ่งถือเป็นการรุกตลาดครั้งใหญ่ในไทย หลังจากประสบความสำเร็จในการสร้างชื่อจาก มาสด้า3 มาแล้ว
มาสด้า 2 เป็นรถซับคอมแพ็กต์ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างมากในต่างประเทศ โดยจะนำเข้ามาผลิตในไทย ที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ (AAT) จ.ระยอง ซึ่งเป็นโรงงานร่วมทุนของมาสด้าและฟอร์ด สำหรับผลิตปิกอัพ มาสด้า บีที-50 และฟอร์ด เรนเจอร์ โดยงานนี้เอเอทีได้ลงทุนตั้งโรงงานแห่งใหม่ ในบริเวณพื้นที่เดียวกันกับโรงงานแห่งเดิม เพื่อรองรับการผลิตมาสด้า 2 และซับคอมแพ็กต์พันธมิตร "ฟอร์ด เฟียสต้า" โดยเฉพาะ
นี่จึงถือเป็นความคาดหวังครั้งสำคัญ เพราะรุ่น 2 นี้จะเป็นรถยนต์ตัวธงคู่กับปิกอัพของมาสด้า เพราะแนวโน้มตลาดรถยนต์ในไทยต่อไป จะมีสัดส่วนของรถยนต์นั่ง หรือเก๋งขยายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นตลอด ฉะนั้นมาสด้าจึงได้วางเป้าหมายทางธุรกิจ โดยมุ่งเป้าขยับสัดส่วนยอดขายของเก๋งกับปิกอัพ ให้มาอยู่ในระดับ 50:50 จากปัจจุบันที่ยังน้อยกว่าปิกอัพอยู่พอสมควร
ดังนั้นเพื่อเตรียมการรองรับแผนการรุกตลาดของมาสด้า2 หรือแผนการยกระดับยอดขายเก๋งให้ใกล้เคียงกับปิกอัพ ทำให้ตลอดปีหน้ามาสด้าได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ครอบคลุมตั้งแต่การบริหารภายใน ภาพลักษณ์แบรนด์สินค้า ไปจนถึงเครือข่ายการขาย
เริ่มตั้งแต่การบริหารภายในที่จะรองรับการเพิ่มโมเดลสำคัญในตลาด ทำให้มาสด้าได้มีการดึงในส่วนของแผนกบริการหลังการและอะไหล่ รวมถึงการอบรมทางเทคนิคต่างๆ ซึ่งเดิมจะใช้การบริหารร่วมกับพันธมิตร "ฟอร์ด" แต่เมื่อไม่นานได้มีการแยกหน่วยงานดังกล่าว มาขึ้นตรงกับมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เพื่อให้การดำเนินงานมีความคล่องตัว และบริการลูกค้าได้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนี้มาสด้าจะมีการปรับภาพลักษณ์โชว์รูมและแบรนด์สินค้าใหม่ โดยจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบโชว์รูม รวมถึงการภาพลักษณ์ใหม่ ที่จะเดิมจะมีเน้นสีฟ้าเป็นส่วนใหญ่ และมีสีเหลืองเข้ามาแทรก ต่อไปจะลดสีฟ้าและเพิ่มสีบรอนซ์เทาเข้ามามากขึ้น พร้อมกับทิ้งสีเหลืองไป เช่นเดียวกับตัวแทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์ ที่จะมีการขยายเพื่อรองรับการรุกตลาดมากขึ้น โดยปัจจุบันมีอยู่ 95 แห่ง ในปีหน้าก็จะเพิ่มอีกประมาณ 20 แห่ง
นี่คือการ "เปลี่ยน" ของมาสด้า เพื่อรองรับการเติบโตมาอยู่ในระดับแถวหน้าของตลาดรถไทย แต่การ Change ครั้งนี้ จะสำเร็จเหมือนกับ บารัค โอบามา นำมาใช้หรือไม่? คงต้องติดตามดูกันต่อไป!!
ในปีหน้า 2552 บรรดาเซียนทางเศรษฐกิจต่างพยากรณ์กันไว้แล้วว่า เศรษฐกิจไทยจะสู่เชิงตะกอนเผาจริง นั่นย่อมส่งผลต่อตลาดรถยนต์ไทยไปด้วย แต่สำหรับบางค่ายอย่าง "มาสด้า" นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง หรือ "Change" เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มาสด้าเตรียมที่จะเดินหน้าสู้ฟัดแล้ว ทั้งในเรื่องสินค้าใหม่ การรุกตลาด รวมถึงการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ และโครงสร้างองค์กรใหม่
หลังจากส่ง "มาสด้า3" ไมเนอร์เชนจ์สู่ตลาด ไปเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี ประกอบกับแผนการเตรียมรุกตลาดมากขึ้น ทำให้มาสด้าในประเทศไทยขอโควต้า มาสด้า 3 เพิ่มจากบริษัทแม่ มาสด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เป็นเดือนละ 450-500 คัน จากเดิมที่ได้รับเพียงไม่เกิน 300 คันต่อเดือน ซึ่งก็นับบรรลุเป้าหมายไปด้วยดี และคราวนี้เป็นทีของปิกอัพตัวเก่ง "บีที-50" ที่จะมาสร้างยอดขายให้กับมาสด้า
โดยในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 ที่จะเริ่มขึ้นในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ณ อาคารชาลเลนเจอร์ เมืองทองธานี มาสด้านอกจากแนะนำรถยนต์ต้นแบบ "ตาอิกิ (TAIKI)" รถสปอร์ตแห่งอนาคต รุ่นที่ 4 ในดีไซน์ของ "นากาเร" ที่นำธีมเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวมาขยายผล เพื่อสร้างรูปลักษณ์ใหม่เช่นเดียวกับการสะท้อนให้เห็นภาพของชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกไว้ ซึ่งเป็นความหมายของคำว่า ตาอิกิ ในภาษาญี่ปุ่นมาจัดแสดงแล้ว
ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 มาสด้ายังได้มีการแนะนำปิกอัพ "บีที-50 สปอร์ต ซีรี่ส์" ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นตกแต่งพิเศษสไตล์สปอร์ต โดยมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น ได้แก่ บีที-50 รุ่นดับเบิลแค็บ และบีที-50 รุ่นแค็บเปิดได้ และเนื่องด้วยเป็นรุ่นพิเศษ หรือลิมิเต็ดอิดิชั่น มาสด้าจึงผลิตออกมาจำกัด ซึ่งในรุ่นดับเบิลแค็บมีเพียง 10 คัน และรุ่นแค็บเปิดได้ 100 คันเท่านั้น ในส่วนของสนนราคาปรับเพิ่มเพียงไม่กี่หมื่นบาท
นอกจากนี้มาสด้ายังมอบสิทธิพิเศษ ให้ผู้บริโภคได้เป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้าได้ง่ายขึ้น จึงมอบคูปองน้ำมันมูลค่า 100,000 บาท หรือเลือกรับดอกเบี้ย 0% ฟรีประกันภัยชั้น 1 สำหรับปิกอัพมาสด้า บีที-50 และรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 รับดอกเบี้ยต่ำสุดเพียง 2.99 ฟรีประกันชั้นภัย 1 ฟรีค่าบำรุงรักษานานถึง 3 ปี หรือ 100,000 ก.ม. โดยแคมเปญเริ่มแล้ววันนี้ไม่ต้องรอถึงงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป
เรียกว่าสินค้าหลักๆ ของมาสด้า มีมาให้เลือกได้ครอบคลุมทุกโมเดล แม้จะไม่ถึงกับเป็นโฉมใหม่ แต่ก็น่าจะเรียกร้องความสนใจจากลูกค้าได้เป็นอย่างดี และถือเป็นการปูพรมสร้างกระแสต่อเนื่อง เพราะในปีหน้าที่จะถึงนี้เป็นปีแห่งการรุกตลาดอย่างหนักของมาสด้า เพราะจะมีสินค้าใหม่ๆ แนะนำสู่ตลาดไม่ได้ขาด รวมถึงการปรับภาพลักษณ์และโครงสร้างธุรกิจ เพื่อรองรับแผนการบุกตลาดครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้
จากการเจาะเข้าไปตรวจสอบแผนธุรกิจของมาสด้าในปี 2552 ที่จะถึงนี้ ได้มีการเริ่มโหมโรงกันตั้งแต่ต้นปีเลย กับการเปิดตัวสปอร์ตชื่อดัง "เอ็มเอ็กซ์-5" ซึ่งเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์ยอดนิยม และในเมืองไทยก็มีแฟนพันธุ์แท้เป็นจำนวนมาก ถือเป็นรุ่นเฉพาะกลุ่มที่สร้างยอดขายให้กับมาสด้าได้พอสมควร
ทั้งนี้มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 ใหม่ เป็นการไมเนอร์เชนจ์สู่ตลาด และจะเริ่มทำตลาดในญี่ปุ่น (ชื่อรุ่นโรดสเตอร์) ช่วงปลายปีนี้ และจากนั้นต้นปีหน้าจะทำตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยรูปลักษณ์ภายนอกของรุ่นปรับโฉมได้รับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากรุ่นเดิมพอสมควร มีการเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ ที่ได้รับการออกแบบให้สปอร์ตขึ้น รวมถึงไฟหน้าทรงใหม่มีความเพรียวขึ้น และที่แก้มตัวถังด้านข้างมีติดตั้งไฟเลี้ยวเอาไว้ ในขณะที่รุ่นก่อนปรับโฉมไม่มี พร้อมล้อแม็กลายใหม่ทั้งขนาด 16 และ 17 นิ้ว ขึ้นกับรุ่นย่อย เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มากับไฟท้าย และกันชนท้ายลายใหม่ สวยปราดเปรียวขึ้น
จากนั้นในช่วงกลางปีจะเป็นรถครอสโอเวอร์ "มาสด้า ซีเอ็กซ์-9" เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าที่ชื่นชอบความแตกต่าง แม้มาสด้าจะไม่ได้หวังยอดขายเป็นกอบเป็นกำ เพราะเป็นรถเฉพาะกลุ่มที่มียอดขายไม่มากนัก แต่มาสด้านำเข้ามาเพื่อจะสร้างภาพลักษณ์สินค้า ซึ่งถือเป็นรถใหญ่ที่แสดงเทคโนโลยีของมาสด้าได้ดีทีเดียว
แต่ไฮไลต์สำคัญของมาสด้าในปีหน้า จริงๆ น่าจะเป็นซับคอมแพ็กต์คาร์ ที่หลายคนเฝ้ารอคอยมานาน นั่นก็คือ "มาสด้า2" ซึ่งถือเป็นการรุกตลาดครั้งใหญ่ในไทย หลังจากประสบความสำเร็จในการสร้างชื่อจาก มาสด้า3 มาแล้ว
มาสด้า 2 เป็นรถซับคอมแพ็กต์ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างมากในต่างประเทศ โดยจะนำเข้ามาผลิตในไทย ที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ (AAT) จ.ระยอง ซึ่งเป็นโรงงานร่วมทุนของมาสด้าและฟอร์ด สำหรับผลิตปิกอัพ มาสด้า บีที-50 และฟอร์ด เรนเจอร์ โดยงานนี้เอเอทีได้ลงทุนตั้งโรงงานแห่งใหม่ ในบริเวณพื้นที่เดียวกันกับโรงงานแห่งเดิม เพื่อรองรับการผลิตมาสด้า 2 และซับคอมแพ็กต์พันธมิตร "ฟอร์ด เฟียสต้า" โดยเฉพาะ
นี่จึงถือเป็นความคาดหวังครั้งสำคัญ เพราะรุ่น 2 นี้จะเป็นรถยนต์ตัวธงคู่กับปิกอัพของมาสด้า เพราะแนวโน้มตลาดรถยนต์ในไทยต่อไป จะมีสัดส่วนของรถยนต์นั่ง หรือเก๋งขยายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นตลอด ฉะนั้นมาสด้าจึงได้วางเป้าหมายทางธุรกิจ โดยมุ่งเป้าขยับสัดส่วนยอดขายของเก๋งกับปิกอัพ ให้มาอยู่ในระดับ 50:50 จากปัจจุบันที่ยังน้อยกว่าปิกอัพอยู่พอสมควร
ดังนั้นเพื่อเตรียมการรองรับแผนการรุกตลาดของมาสด้า2 หรือแผนการยกระดับยอดขายเก๋งให้ใกล้เคียงกับปิกอัพ ทำให้ตลอดปีหน้ามาสด้าได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ครอบคลุมตั้งแต่การบริหารภายใน ภาพลักษณ์แบรนด์สินค้า ไปจนถึงเครือข่ายการขาย
เริ่มตั้งแต่การบริหารภายในที่จะรองรับการเพิ่มโมเดลสำคัญในตลาด ทำให้มาสด้าได้มีการดึงในส่วนของแผนกบริการหลังการและอะไหล่ รวมถึงการอบรมทางเทคนิคต่างๆ ซึ่งเดิมจะใช้การบริหารร่วมกับพันธมิตร "ฟอร์ด" แต่เมื่อไม่นานได้มีการแยกหน่วยงานดังกล่าว มาขึ้นตรงกับมาสด้า เซลส์ ประเทศไทย เพื่อให้การดำเนินงานมีความคล่องตัว และบริการลูกค้าได้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนี้มาสด้าจะมีการปรับภาพลักษณ์โชว์รูมและแบรนด์สินค้าใหม่ โดยจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบโชว์รูม รวมถึงการภาพลักษณ์ใหม่ ที่จะเดิมจะมีเน้นสีฟ้าเป็นส่วนใหญ่ และมีสีเหลืองเข้ามาแทรก ต่อไปจะลดสีฟ้าและเพิ่มสีบรอนซ์เทาเข้ามามากขึ้น พร้อมกับทิ้งสีเหลืองไป เช่นเดียวกับตัวแทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์ ที่จะมีการขยายเพื่อรองรับการรุกตลาดมากขึ้น โดยปัจจุบันมีอยู่ 95 แห่ง ในปีหน้าก็จะเพิ่มอีกประมาณ 20 แห่ง
นี่คือการ "เปลี่ยน" ของมาสด้า เพื่อรองรับการเติบโตมาอยู่ในระดับแถวหน้าของตลาดรถไทย แต่การ Change ครั้งนี้ จะสำเร็จเหมือนกับ บารัค โอบามา นำมาใช้หรือไม่? คงต้องติดตามดูกันต่อไป!!