การทำตลาดรถในรูปแบบของ “รถนำเข้าสำเร็จรูป” หรือ CBU ความยากไม่ได้อยู่ที่ตรงไหน มีเพียงประการเดียวคือ “กำแพงภาษี” ซึ่งมีผลทำให้ราคาค่าตัวของรถประเภทนี้สูงกว่ารถประกอบในประเทศชนิดเกินกว่าเท่าตัว(ภายใต้โมเดลเดียวกัน) โดยเฉพาะค่ายรถญี่ปุ่นที่ครองตลาดรถยนต์ของบ้านเราจะทำตลาดด้วยรถประกอบในประเทศแทบทั้งหมด
แต่มีอยู่หนึ่งค่ายที่ยังคงยืนหยัดทำตลาดด้วยรถแบบ CBU นั่นก็คือ “ซูบารุ” จากการชูจุดเด่นด้านสมรรถนะ ทำให้ยังคงมีสาวกเหนียวแน่นอยู่ ปัจจุบันแบรนด์ดังกล่าวอยู่ภายใต้การกุมบังเหียนของกลุ่ม มอเตอร์ อิมเมจ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ซูบารุรายใหญ่ของภูมิภาคนี้ ด้วยการตั้งเป้าขายปีละ 400-500 คันแต่ขายได้จริงปีละประมาณ 200 คัน
ทว่าในปีนี้แตกต่างไป หลังการเปิดตัว “อิมเพรซ่า” ใหม่ กับราคาเริ่มต้นเพียง 1 ล้านเศษนิดหน่อย สามารถโกยยอดขายอย่างเป็นกอบเป็นกำตั้งแต่ต้นปี ทำให้สิ้นปี ค่ายดาวลูกไก่ หวังว่าจะฉลองยอดขายสำเร็จลุล่วงดังเป้าหมาย แต่แล้วสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองกลับส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อลง ซุบารุจึงตัดสินใจปรับเป้าการขายปีนี้ใหม่เหลือเพียง 300 คัน
โดยในช่วงปลายปีนี้ มีแผนเปิดตัวรถใหม่ 3 รุ่นรวด คือ ซูบารุ ฟอเรสเตอร์, เอกซีกา และ อิมเพรซ่า เวอร์ชั่น ซีดาน ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่องยนต์เพื่อรองรับการใช้เชื้อเพลิงชนิด อี20 ได้ เนื่องจากปัจจุบัน รถของซูบารุรองรับเพียงชนิด อี10 เท่านั้น
และสืบเนื่องจากที่คราวก่อนเรา “ผู้จัดการมอเตอริ่ง”เคยนำเสนอบททดสอบ ซูบารุรุ่น อิมเพรซ่า รุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ไปแล้ว ครั้งนี้ขอต่อเนื่องอีกสักครั้งกับ อิมเพรซ่ารุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ซึ่งแรงกว่าตัวแรก และเป็นเกียร์ธรรมดาเสียด้วย
สำหรับตัวเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรนั้นจากคำบอกเล่าของทีมงาน มอเตอร์ อิมเมจ ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของซูบารุเป็นรุ่นขายดีที่สุดของอิมเพรซ่าในเมืองไทย ครองสัดส่วนการขายกว่า 80% ของยอดขายทั้งหมด โดยเกียร์ธรรมดามียอดขายใกล้เคียงเกียร์ออโต้อาจจะน้อยกว่าเล็กน้อยในบางเวลา
ทันทีที่เรารับกุญแจของเจ้าอิมเพรซ่ารุ่น 2.0R MT มา เปิดประตูเข้าไปสำรวจภายใน สิ่งแรกที่สุดตาเรามากที่สุดคือ ก้านคันโยกอะไรสักอย่างซึ่งไม่เคยเห็นในรถคันใดมาก่อน ตั้งตำแหน่งอยู่ติดกับเกียร์ธรรมดา และเมื่อพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วก็ถึงบางอ้อ “ตัวปรับระดับความสูงต่ำของคลัทซ์”
ก็มีคำถามตามมาว่าเจ้าตัวปรับระดับที่ว่านั้นมีประโยชน์อย่างไร ทำไมจึงต้องมีด้วย คำตอบก็คือเพื่อช่วยปรับระยะจังหวะการจับของคลัทซ์ และหากจะขับเอามันแบบรถแข่งหรือผ่อนแรงเหยียบของขาหากขับในเมือง ก็สามารถเลือกปรับได้
ออกมาจากโชว์รูม เราได้สัมผัสกำลังระดับ 150 แรงม้าที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตรที่ 3,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดาของเครื่องบ๊อกเซอร์ ขนาด 2.0 ลิตรที่ประจำการอยู่ใต้ฝากระโปรงให้ความเร้าใจตั้งแต่เกียร์ 1 แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตัว 1.5 ลิตรที่เราเคยลองขับมาก่อนหน้า
ทุกครั้งที่ลากเกียร์เกินกว่า 3,000 รอบขึ้นไป ไม่ว่าจะในตำแหน่งเกียร์ใด เราสามารถสัมผัสได้ถึงแรงดึงที่พอสร้างความสนุกในการขับได้ดีทีเดียว รู้สึกว่าพละกำลังลงตัว ไม่น้อยหรือมากเกินไป
ช่วงล่างหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท หลัง แบบดับเบิลวิชโบน ผสานกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (Symmetrical AWD) ยังคงเป็นอะไรที่สร้างความประทับใจมากที่สุดให้กับเราเช่นเดิม หลังจากการสาดเข้าโค้ง ลงสะพาน กลับรถ เปลี่ยนเลนฉุกเฉิน และการวิ่งเต็มสปีด อิมเพรซ่า แสดงความหนึบออกมาอย่างเด่นชัด
ความเร็วสูงสุดที่เราขับคือ 170 กม./ชม. รถวิ่งนิ่ง มีเสียงเครื่องยนต์คำรามให้ได้ยินอยู่บ้าง เสียงลมรบกวนพอสมควร ส่วนความเร็วที่เหมาะสมและขับสบายที่สุดคือราว 120-140 กม./ชม. และด้วยความที่เป็นเกียร์ธรรมดาบวกกับพละกำลังเพียงพอ ทำให้จังหวะเร่งไม่เป็นปัญหาในทุกย่านความเร็ว
ด้านการบังคับควบคุมพวงมาลัยแม่นยำ เบรกน้ำหนักกำลังดี ไม่มีอาการหัวทิ่ม การใช้งานในเมืองคล่องตัว เกียร์ธรรมดา ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ยกเว้นขับช่วงเวลาเร่งด่วน อาจจะมีเมื่อยขาบ้างเหมือนกัน จังหวะการเข้าเกียร์ง่าย สั้นกระชับ
ส่วนภายในคุณภาพวัสดุและการประกอบมาตรฐานญี่ปุ่น เรายังยืนยันคำเดิมคือ “สามารถสร้างความพึงพอใจให้มากกว่ารถระดับเดียวกันที่ประกอบในประเทศ” ซึ่งถือเป็นจุดเด่นประการหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคกล้าตัดสินใจซื้อแม้รถจะมีราคาแพงกว่า สำหรับการใช้งานอุปกรณ์มีครบตามการใช้งานมาตรฐาน คอนโซลหน้ามีแผงหน้าจอเล็กๆ แสดงผลค่าต่างๆ ของการขับ
ขณะที่รูปทรงภายนอกเราขอไม่เอ่ยถึงอีก เนื่องจากได้กล่าวไว้ในบททดสอบตัวรุ่น 1.5 แล้ว สวยหรือไม่อย่างไร ผู้บริโภคมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว
สำหรับอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง ตามคู่มือบอกไว้ที่ 11.9 กม/ลิตร ส่วนตัวเลขการขับจริงของเรา วิ่งในเมืองระยะทางเท่าๆ กันกับวิ่งนอกเมือง ตัวเลขอยู่ราวเกือบ 10 กม./ลิตร
สรุป ด้วยราคาค่าตัว 1.345 ล้านบาท เราจึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใด อิมเพรซ่า เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรจึงครองยอดขายถึงกว่า 80% และเกียร์ธรรมดามีสัดส่วนการขายเท่าเทียมกับเกียร์ออโต้ นั่นก็เพราะ หากหันไปมองตัว 1.5 คุณเพิ่มเงินอีกนิดหน่อย แต่ได้ความสนุกมากกว่าเยอะและคงความหนึบไม่แตกต่าง และถ้าอยากแรงขึ้นในตัว 2.5 ลิตร ราคาจะกระโดดไปทะลุ 2 ล้านบาท ฉะนั้นทางเลือก 2.0 ลิตรจึงดูสมเหตุสมผลที่สุด