ถ้าพูดถึงงานประกวดรถยนต์คลาสสิคและโบราณที่เลื่องชื่อและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกทั้งพวกวงในหรือวงนอก แน่นอนว่าชื่อของ Pebble Beach Concours d' Elegance จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เพ็บเบิล บีช มลรัฐแคลิฟอร์เนียรวมอยู่ด้วย ซึ่งงานในปีนี้เริ่มขึ้นกันตั้งแต่วันที่ 13 และไปสิ้นสุดเอาในวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา และเป็นการจัดงานครั้งที่ 58 แล้ว
จากความสำคัญของงานที่มีชื่อชั้นระดับเกรดเอสำหรับวงการรถยนต์โบราณ ทำให้งานนี้กลายเป็นศูนย์รวมของบรรดานักสะสมชั้นนำของโลกที่มักจะนำรถยนต์ในคอลเล็กชั่นของตัวเองมาประกวดประชันกัน หรือถ้าจะเดินดูเฉยๆ ราคาค่าตั๋วเข้าชมที่แพงเอาเรื่องในระดับเฉียดหลักพันเหรียญสหรัฐฯ ก็ถือเป็นการสกรีนระดับของคนดูได้ในระดับหนึ่งเหมือนกัน
แน่นอนว่าในเมื่องานนี้เป็นเวทีที่บรรดานักสะสมกระเป๋าหนักทั้งหลายมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะพวกแบรนด์ระดับหรู จะอาศัยจุดเด่นของงานนี้นำรถยนต์รุ่นต่างๆ ของตัวเองมาร่วมจัดแสดงทั้งพวกต้นแบบที่เคยเปิดตัวมาแล้ว (แต่นำมาจัดแสดงอีกรอบให้แจก V.I.P. ได้เดินดูกันอย่างใกล้ชิด) รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่เป็นครั้งแรกของโลกอีกด้วย ถือว่าเป็นเรื่องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มหลักอย่างชัดเจนและแม่นยำแบบไม่ต้องเสียเวลามาก ย้อนความ Pebble Beach
ในปีที่แล้ว "ผู้จัดการมอเตอริ่ง" เคยนำเสนอความเคลื่อนไหวของงานนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง พร้อมกับเล่าถึงประวัติของการจัดงาน เลยขอย้อนความกันอีกสักนิดเผื่อบางคนอาจจะพลาดในฉบับนั้น Pebble Beach Concours d'Elegance เป็นงานแสดงรถยนต์คลาสสิคและโบราณที่จัดขึ้นเป็นการกุศลโดยมีขึ้นเป็นประจำทุกปีนับจากปี 1950 และมีทาง Pebble Beach Golf Links ในเมืองเพ็บเบิล บีช มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพในการจัดงานนี้
งานถูกจัดขึ้นในสนามกอล์ฟ และในช่วง 2 ปีแรกจะถูกจัดขึ้นที่จุดทีออฟและสนามฝึกไดร์ฟ และมีรถเข้าร่วมจัดแสดงมากถึง 30 คัน ก่อนที่ในปี 1952 จะย้ายมาจัดบนหลุมที่ 18 ของสนาม Pebble Beach Golf Links ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นสนามที่ใช้ในการจัดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน การจัดมีเป็นประจำทุกปียกเว้นในปี 1960 ที่มีการยกเลิกเพราะมีปัญหาเรื่องของโปรแกรมการจัดงาน ส่วนในปี 1963 และ 1965 ก็เกิดฝนตกหนักจนสนามหญ้าเปียกไม่เหมาะกับการจัดงาน ก็เลยต้องย้ายมาจัดชั่วคราวที่คอกม้าของสนามกอล์ฟแทน
เมื่อดูจากชื่อ Concours d'Elegance ซึ่งเป็นคำในภาษาฝรั่งเศสที่มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า "a competition of elegance" หรือ "การแข่งขันประชันความหรูอลังการณ์" ในภาษาไทย รถยนต์ที่นำมาจัดแสดงส่วนใหญ่จึงเป็นพวกรถคลาสสิคและโบราณทั้งรุ่นก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และก็จะมีคณะกรรมการคอยให้คะแนนเพื่อแจกรางวัลให้กับผู้ชนะในอันดับ 1-3 ของแต่ละกลุ่ม
พร้อมกับมีการเลือกตำแหน่ง "สุดยอดรถประจำงาน" หรือ Best in Show ด้วย โดยจะเป็นการคัดเลือกจากรถที่ชนะเลิศในแต่ละกลุ่ม ในปี 2006 มีรถยนต์มากถึง 175 คันเข้าร่วมจัดแสดง และมีการแบ่งการประกวดออกเป็น 25 คลาส โดยมีการประเมินมูลค่าของรถยนต์คลาสสิคที่นำมาจัดแสดงในงานนี้รวมแล้วกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 6,600 ล้านบาท ของใหม่จากไลน์ผลิต
แม้จะจัดขึ้นในสหรัฐอเมริกา แต่ดูเหมือนว่าการชิงไหวชิงพริบในการนำเสนอของใหม่เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าจะไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้ผลิตรถยนต์ที่เป็นแบรนด์เจ้าถิ่นเท่านั้น เพราะหลายต่อหลายค่ายทั้งยุโรปและเอเชียต่างก็ส่งผลงานของตัวเองเข้ามาประกวดประชันกัน
ไฮไลต์เด่นของงานนี้เห็นจะเป็นการเปิดตัวของบูกัตตี้ เวย์รอน แกรนด์ สปอร์ต แบบเปิดหลังคารับลม ซึ่งอวดโฉมเป็นครั้งแรกในงานนี้ และมีการประมูลคันแรกที่ออกจากไลน์ผลิตอีกด้วย ซึ่งสุดท้ายแล้ว สปอร์ตรุ่นนี้ถูกประมูลด้วยราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 56.1 ล้านบาท และไปจบลงที่ 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 95.7 ล้านบาท
แต่งานนี้ต้องเสียค่าธรรมเนียมของการประมูลอีก 10% ราคาก็เลยขยับขึ้นมาเป็น 3.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (105 ล้านบาท) หรือกว่า 3 เท่าของราคารุ่นคูเป้ เรียกว่าบรรดาเศรษฐียกมือแข่งกันสุดขาดใจเพื่อที่จะได้เป็นผู้ครอบครองเวย์รอน แกรนด์ สปอร์ตคันแรกจากไลน์ผลิต
นอกจากบูกัตตี้แล้ว ค่ายโฟล์คสวาเกนซึ่งเป็นบริษัทแม่ยังนำมาดสปอร์ตของพัสสาทในชื่อ CC มาจัดแสดงด้วย พร้อมกับความพิเศษด้วยการพ่นสีตัวถังเป็นสีทองที่เรียกว่า Gold Coast พร้อมการตกแต่งแบบสปอร์ตสุดขั้ว เพื่อเป็นการโปรโมตก่อนที่พัสสาท CC จะเริ่มขายในเมืองลุงแซมปลายปีนี้ด้วยราคาเริ่มต้น 27,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 900,000 บาท
ขณะที่บรรดาผู้ผลิตรถสปอร์ตจากอิตาลีต่างก็จัดเวทีนำเสนอความเคลื่อนไหวของตัวเอง เช่น เฟอร์รารี่ซึ่งกำลังจะส่งสปอร์ตเปิดประทุนรุ่นแคลิฟอร์เนียลงสู่ตลาด ก็จัดการกั้นคอกทำการเฉลิมฉลองให้กับรถสปอร์ตที่ใช้ชื่อนี้ซึ่งถูกใช้ในการทำตลาดมานาน 50 ปีโดยเปิดตัวกับรุ่น 250GT สปายเดอร์ แคลิฟอร์เนียในปี 1958 หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า Cal Spyder และมีการผลิตออกมาเพียง 150 คันเท่านั้น ส่วนที่เป็นโฉมใหม่จะใช้ชื่อแคลิฟอร์เนียแบบเดี่ยวๆ และเปิดตัวคันจริงในปารีส มอเตอร์โชว์ ต้นเดือนตุลาคมนี้
ทางด้านลัมบอร์กินี คู่ปรับตลอดกาลก็ไม่น้อยหน้าจัดการนำสปอร์ตชื่อดังในอดีตของตัวเองพาเหรดมาอวดโฉมกันเต็มลานจัดแสดงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสนามกอล์ฟทั้งรุ่นมิอูระ, 350GTS และ GTZ, Marque หรือ LP400 Countouch เรียกว่าแฟนๆ ค่ายกระทิงเปลี่ยวเดินดูกันตาแฉะเลย
สำหรับแบรนด์เจ้าถิ่น ทางจีเอ็มทำเก๋ด้วยการย้อนยุคนำแนวคิดที่เคยดังในอดีตในการจัดแสดงรถยนต์ยุคอนาคตกลับมาใช้อีกครั้ง ยึดพื้นที่จัดงาน Motorama โดยที่มีต้นแบบรุ่นไฟร์เบิร์ด PX-21 ที่เปิดตัวในปี 1954 เป็นดาวเด่นของงาน และเสริมด้วยการเปิดตัวรถยนต์ 2 รุ่นใหม่ที่เตรียมขายในปลายปีหน้าอย่างรุ่นแวกอนของ CTS และโฉมใหม่ของ SRX ที่เปลี่ยนมาเป็นเอสยูวีซึ่งใช้พื้นฐานของรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า และยึดรูปลักษณ์การออกแบบภายนอกมาจากต้นแบบรุ่น Provoq ที่เปิดตัวต้นปีนี้ เรียกว่า CTS ออกมาประชันกับอินฟินิตี้ แบรนด์หรูของนิสสัน ซึ่งเป็นสปอนเซอร์หลักของงานนี้กันเต็มๆ เพราะทางอินฟินิตี้ก็นำโฉมใหม่ของรุ่น G37x และ G37 ซีดานมาอวดโฉม เวทีแจกรางวัลสำหรับผู้ชนะ
อย่างที่บอกว่างานนี้เป็นเวทีของการประกวดประชันกันของรถยนต์คลาสสิค และในแต่ละปีจะมีการมอบรางวัลให้กับผู้ชนะในสาขาต่างๆ โดยที่มีรางวัลใหญ่คือ Best in Show ซึ่งเป็นรถยนต์เด่นที่สุดที่เข้ามาร่วมงานในปีนั้นๆ
รางวัลที่แจกในปีนี้มีมากมายโดยแบ่งออกเป็นช่วงปีของรถยนต์ที่ผลิตออกมา รวมถึงการแบ่งตามสัญชาติของผู้ผลิต เช่น รถสปอร์ตอังกฤษ อเมริกัน หรือ แบ่งตามยี่ห้อดังๆ เช่น แลนเซีย, แคดิลแล็ก, เฟอร์รารี่ และลัมบอร์กินี อีกทั้งยังมีการแจกรางวัลพิเศษ เช่น รถสปอร์ตเปิดประทุนที่สวยที่สุดในงาน หรือรถยนต์แบบหลังคาแข็งที่สวยที่สุด
ส่วน Best in Show ในปีนี้ตกเป็นของอัลฟา 8C 2900B Touring Berlinetta รุ่นปี 1938 ซึ่งมี John & Mary Shirly จากวอชิงตันเป็นเจ้าของ รถยนต์รุ่นนี้ยังได้รับเลือกให้คว้าอีก 2 รางวัลในประเภทรถยนต์แบบหลังคาแข็งที่สวยที่สุดในงาน และ Elegance in Motion Trophy
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกคันที่เด่นที่สุดในงาน และสายตาทุกคนมักจะเหลียวกันไปมอง นั่นคือ รถยนต์สะสมชื่อ Tank Car ของ Jay Leno พิธีกรชื่อดังรายการ Tonight Show ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ของไครสเลอร์แบบวี12 มีความจุ 28,400 ซีซี เทอร์โบ รีดกำลังออกมาได้ 1,600 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 414 แรงม้า เทอร์โบ และแม้ว่า Tank Car ของ Leno จะได้รับเลือกให้เข้ารอบในกลุ่มรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์เกิน 20,000 ซีซี แต่ก็ไม่ได้คว้ารางวัลอะไรติดมือกลับมา
สำหรับงานในปีหน้าเป็นครั้งที่ 59 จะเริ่มขึ้นในวันที่ 16 สิงหาคม 2009 ใครที่สนใจอยากบินไปดูถึงที่ ก็รีบเก็บเงินค่าตั๋วเครื่องบินและค่าตั๋วเข้างานกันได้แล้ว