ผู้จัดการรายวัน - ททท.ฝืนความจริงไม่ได้ จำนนลดเป้าปีหน้าเหลือยอดรายได้ต่างประเทศโตแค่ 5% น้อยที่สุดในรอบ 5 ปี เหตุราคาน้ำมันทะยานไม่หยุด วิกฤตเงินเฟ้อระบาดทั่วโลก นักท่องเที่ยวระยะไกลสำลักค่าตั๋วเครื่องบิน พร้อม เข็นสโลแกน อะเมซิ่งวิสิทไทยแลนด์เยียร์ นำเสนอสินค้า เซเว่นวันเดอร์ และ เซเว่นกรีน เจาะตลาดนักท่องเที่ยวไฮเอนด์ ย่านเอเชียและตะวันออกกลาง ด้านตลาดในประเทศ ยังปากแข็งยืนยันรายได้ปีหน้าโต 5%
นายสันติชัย เอื้อจงประสิทธิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมแผนการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว ปี 2552 ได้ข้อสรุปว่า ตลาดต่างประเทศจะตั้งเป้าเติบโตด้านรายได้ไว้ที่ 5% หรือจะมีรายได้เข้าประเทศที่ 6.3 แสนล้านบาท คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยว 16 ล้านคน จากปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้ 6 แสนล้านบาท มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 15.48 ล้านคน โดยเป้าหมาย เติบโตด้านรายได้ 5% นั้น เป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากเดิมตั้งไว้ที่ 10%
สาเหตุที่ต้องปรับลดเพราะทุกฝ่ายมีความกังวลเรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ปรับตัวสูงต่อเนื่อง และภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นปัจจัยลบสำคัญที่นอกเหนือการควบคุม โดยปัญหานี้จะกระทบกับทุกภาคธุรกิจไม่เว้นแม้แต่ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพราะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่แพงขึ้น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยเครื่องบิน ต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินบวกค่าธรรมเนียมภาษีน้ำมันแล้ว จะมีราคาแพงขึ้นเฉลี่ย 50-100% ขึ้นอยู่กับระยะทาง ส่วนสายการบินระยะไกลก็ลดเที่ยวบิน หรือยกเลิกเที่ยวบิน เพราะไม่คุ้มค่าทางธุรกิจ
“เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่ ททท.ตั้งเป้าเติบโตน้อยเพียง 5% จากทุกปี ททท.จะตั้งเป้าเติบโตทางด้านรายได้เฉลี่ย 10-13% เพราะเราคำนึงถึงปัจจัยลบที่จะเกิดขึ้น เราคำนวณจากราคาน้ำมันที่ 200 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ซึ่งวันนี้ราคาน้ำมันอยู่ที่ 145 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลและมีทีท่าจะจะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
กลยุทธ์ที่ ททท.จะใช้ในปีหน้า คือ เน้นเจาะตลาดระยะกลางและระยะใกล้ เช่น จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง อินโดนีเซีย และตลาดในแถบอินโดจีน เน้นตลาดไฮเอนด์ โดยตลาดตะวันออกกลางจะขยายเข้าเจาะกลุ่มเยาวชน ซึ่งได้ติดต่อโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยไว้แล้ว คาดว่ากลุ่มแรกจะนำเยาวชนจากดูไบ เข้ามาในปีหน้าได้ราว 400-500 คน นอกจากนั้นยังเจาะตลาดกอล์ฟ
ส่วนตลาดระยะไกล จะพยายามรักษาระดับตัวเลขนักท่องเที่ยวไม่ให้ลดลงไปกว่าเดิม โดย แถบยุโรป อเมริกา จะใช้วิธีจับมือภาคเอกชน จัดเที่ยวบินเหมาลำหรือ ชาร์เตอร์ไฟล์ท เพื่อแก้ปัญหาการยกเลิกเที่ยวบิน ล่าสุดเตรียมจัดชาร์เตอร์ไฟล์ท จากประเทศเบลเยี่ยม และ เนเธอร์แลนด์ เข้ามาช่วงเดือนพฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม ปี 2552 ยังคงใช้สโลแกน “อะเมซิ่งไทยแลนด์” ภายใต้แคมเปญ วิสิท ไทยแลนด์ เยียร์ 2008-2009 นำเสนอสินค้าเซเว่น วันเดอร์ และ เซเว่น กรีน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละตลาด ตอบรับกระแสการตื่นตัวภาวะโลกร้อน ซึ่งจุดขายที่สำคัญคือ เที่ยวประเทศไทยจะได้ความคุ้มค่าของเงินที่จ่าย หรือ แวลู ฟอร์มันนี่
ด้านงบประมาณประจำปี 2552 ตลาดต่างประเทศไทยรับจัดสรรมาทั้งสิ้น 1,137 ล้านบาท แบ่งเป็น งบปกติ 1,062 ล้านบาท และงบสำหรับปีท่องเที่ยวไทย อีก 75 ล้านบาท โดยงบส่วนนี้ จะใช้โปรโมตใน 3 งานหลัก คือ แคมเปญ เซเว่น วันเดอร์ , นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ และ โครงการโปรโมต 14 คลัสเตอร์ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุน ด้านท่องเที่ยว นอกนั้นจะทำเรื่องของการโปรโมต แคมเปญ อะเมซิ่ง แวลู การ์ด และ โครงการ 72 ชั่วโมง ท่องเที่ยวไทย ด้วย
ทางด้านนายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า สำหรับตลาดในประเทศ ททท.ตั้งเป้าว่าปีหน้าด้านรายได้จะเติบโตจากปีนี้ 5% โดยมีจำนวนคนไทยเดินทางท่องเที่ยวประมาณ 87 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศ 4.07 แสนล้านบาท โดยปีนี้ตลาดในประเทศยังคงยืนยันที่ 83 ล้านคนครั้ง ทั้งนี้ตัวเลขทั้งหมดที่กล่าวมา ต้องขึ้นกับปัจจัยหลายด้าน คือ ภาวะเงินเฟ้อ สภาพเศรษฐกิจ และการเมืองต้องนิ่ง
****เสนอบูติค/ชิกโฮเทลโกยรายได้เพิ่ม*****
นายอักกะพล พฤกษะวัน รองผู้ว่าการด้านสินค้าทางการท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า ในปี 2552 ททท. จะต่อยอดการทำงานของแผนงาน เซเว่น วันเดอร์ โดยเจาะลึกลงไปในรายละเอียดให้มากกว่าปีนี้ และให้มีความเป็นรูปธรรมชัดเจน ด้วยการนำเสนอ 1,270 ทัวริสซึมโปรดักส์ ให้ตัวแทนการทำตลาดในพื้นที่ ที่อยู่ในต่างประเทศทั่วโลก จำนวน 30 คน นำไปเสนอขาย ซึ่งสินค้าที่มาแรงในปีหน้า จะมี 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.แนวเทรนดี้ เช่น ชิกโฮเทล และบูติกโฮเทล ที่ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสินค้ากลุ่มนี้จำนวนมากกระจายอยู่ทุกภูมิภาค เป็นสินค้าที่ทำรายได้ได้ดี เจาะตลาดไฮเอนด์ และ 2. กลุ่มเฮลท์ทัวร์ แอนด์ เวลเนส เป็นแพคเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สปา อาหารบำบัด และ การรักษาพยาบาล พักฟื้น ในกลุ่มผู้ป่วย เป็นต้น สินค้าทั้งสองตลาด มีการเติบโตเป็นเลขสองหลักทุกปี
สำหรับตลาดคนไทย เน้นส่งเสริมท่องเที่ยวระยะใกล้ ในจังหวัดใกล้เคียง หรือในภูมิภาคเดียวกัน เพื่อลดความเสี่ยง ที่เกิดจากภาวะราคาน้ำมันแพง
นายอภิชาต สังฆอารี นายกสมาคม ไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า รายได้ตลาดต่างประเทศ ที่ ททท.ตั้งเป้าหมายปีหน้าเติบโต 5% นั้นเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด และน่าจะสามารถทำได้จริง ซึ่งตรงกับตัวเลขที่ภาคเอกชนได้คำนวนณไว้ แต่ทั้งนี้ การเติบโตจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอยู่กับปัจจัยความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศไทยด้วย ที่ต้องเร่งหาข้อยุติให้เร็วที่สุด เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว
นายสันติชัย เอื้อจงประสิทธิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมแผนการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว ปี 2552 ได้ข้อสรุปว่า ตลาดต่างประเทศจะตั้งเป้าเติบโตด้านรายได้ไว้ที่ 5% หรือจะมีรายได้เข้าประเทศที่ 6.3 แสนล้านบาท คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยว 16 ล้านคน จากปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้ 6 แสนล้านบาท มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 15.48 ล้านคน โดยเป้าหมาย เติบโตด้านรายได้ 5% นั้น เป็นตัวเลขที่ปรับลดลงจากเดิมตั้งไว้ที่ 10%
สาเหตุที่ต้องปรับลดเพราะทุกฝ่ายมีความกังวลเรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ปรับตัวสูงต่อเนื่อง และภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นปัจจัยลบสำคัญที่นอกเหนือการควบคุม โดยปัญหานี้จะกระทบกับทุกภาคธุรกิจไม่เว้นแม้แต่ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพราะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่แพงขึ้น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยเครื่องบิน ต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินบวกค่าธรรมเนียมภาษีน้ำมันแล้ว จะมีราคาแพงขึ้นเฉลี่ย 50-100% ขึ้นอยู่กับระยะทาง ส่วนสายการบินระยะไกลก็ลดเที่ยวบิน หรือยกเลิกเที่ยวบิน เพราะไม่คุ้มค่าทางธุรกิจ
“เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่ ททท.ตั้งเป้าเติบโตน้อยเพียง 5% จากทุกปี ททท.จะตั้งเป้าเติบโตทางด้านรายได้เฉลี่ย 10-13% เพราะเราคำนึงถึงปัจจัยลบที่จะเกิดขึ้น เราคำนวณจากราคาน้ำมันที่ 200 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ซึ่งวันนี้ราคาน้ำมันอยู่ที่ 145 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลและมีทีท่าจะจะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
กลยุทธ์ที่ ททท.จะใช้ในปีหน้า คือ เน้นเจาะตลาดระยะกลางและระยะใกล้ เช่น จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง อินโดนีเซีย และตลาดในแถบอินโดจีน เน้นตลาดไฮเอนด์ โดยตลาดตะวันออกกลางจะขยายเข้าเจาะกลุ่มเยาวชน ซึ่งได้ติดต่อโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยไว้แล้ว คาดว่ากลุ่มแรกจะนำเยาวชนจากดูไบ เข้ามาในปีหน้าได้ราว 400-500 คน นอกจากนั้นยังเจาะตลาดกอล์ฟ
ส่วนตลาดระยะไกล จะพยายามรักษาระดับตัวเลขนักท่องเที่ยวไม่ให้ลดลงไปกว่าเดิม โดย แถบยุโรป อเมริกา จะใช้วิธีจับมือภาคเอกชน จัดเที่ยวบินเหมาลำหรือ ชาร์เตอร์ไฟล์ท เพื่อแก้ปัญหาการยกเลิกเที่ยวบิน ล่าสุดเตรียมจัดชาร์เตอร์ไฟล์ท จากประเทศเบลเยี่ยม และ เนเธอร์แลนด์ เข้ามาช่วงเดือนพฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม ปี 2552 ยังคงใช้สโลแกน “อะเมซิ่งไทยแลนด์” ภายใต้แคมเปญ วิสิท ไทยแลนด์ เยียร์ 2008-2009 นำเสนอสินค้าเซเว่น วันเดอร์ และ เซเว่น กรีน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละตลาด ตอบรับกระแสการตื่นตัวภาวะโลกร้อน ซึ่งจุดขายที่สำคัญคือ เที่ยวประเทศไทยจะได้ความคุ้มค่าของเงินที่จ่าย หรือ แวลู ฟอร์มันนี่
ด้านงบประมาณประจำปี 2552 ตลาดต่างประเทศไทยรับจัดสรรมาทั้งสิ้น 1,137 ล้านบาท แบ่งเป็น งบปกติ 1,062 ล้านบาท และงบสำหรับปีท่องเที่ยวไทย อีก 75 ล้านบาท โดยงบส่วนนี้ จะใช้โปรโมตใน 3 งานหลัก คือ แคมเปญ เซเว่น วันเดอร์ , นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ และ โครงการโปรโมต 14 คลัสเตอร์ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุน ด้านท่องเที่ยว นอกนั้นจะทำเรื่องของการโปรโมต แคมเปญ อะเมซิ่ง แวลู การ์ด และ โครงการ 72 ชั่วโมง ท่องเที่ยวไทย ด้วย
ทางด้านนายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า สำหรับตลาดในประเทศ ททท.ตั้งเป้าว่าปีหน้าด้านรายได้จะเติบโตจากปีนี้ 5% โดยมีจำนวนคนไทยเดินทางท่องเที่ยวประมาณ 87 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศ 4.07 แสนล้านบาท โดยปีนี้ตลาดในประเทศยังคงยืนยันที่ 83 ล้านคนครั้ง ทั้งนี้ตัวเลขทั้งหมดที่กล่าวมา ต้องขึ้นกับปัจจัยหลายด้าน คือ ภาวะเงินเฟ้อ สภาพเศรษฐกิจ และการเมืองต้องนิ่ง
****เสนอบูติค/ชิกโฮเทลโกยรายได้เพิ่ม*****
นายอักกะพล พฤกษะวัน รองผู้ว่าการด้านสินค้าทางการท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า ในปี 2552 ททท. จะต่อยอดการทำงานของแผนงาน เซเว่น วันเดอร์ โดยเจาะลึกลงไปในรายละเอียดให้มากกว่าปีนี้ และให้มีความเป็นรูปธรรมชัดเจน ด้วยการนำเสนอ 1,270 ทัวริสซึมโปรดักส์ ให้ตัวแทนการทำตลาดในพื้นที่ ที่อยู่ในต่างประเทศทั่วโลก จำนวน 30 คน นำไปเสนอขาย ซึ่งสินค้าที่มาแรงในปีหน้า จะมี 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.แนวเทรนดี้ เช่น ชิกโฮเทล และบูติกโฮเทล ที่ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสินค้ากลุ่มนี้จำนวนมากกระจายอยู่ทุกภูมิภาค เป็นสินค้าที่ทำรายได้ได้ดี เจาะตลาดไฮเอนด์ และ 2. กลุ่มเฮลท์ทัวร์ แอนด์ เวลเนส เป็นแพคเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สปา อาหารบำบัด และ การรักษาพยาบาล พักฟื้น ในกลุ่มผู้ป่วย เป็นต้น สินค้าทั้งสองตลาด มีการเติบโตเป็นเลขสองหลักทุกปี
สำหรับตลาดคนไทย เน้นส่งเสริมท่องเที่ยวระยะใกล้ ในจังหวัดใกล้เคียง หรือในภูมิภาคเดียวกัน เพื่อลดความเสี่ยง ที่เกิดจากภาวะราคาน้ำมันแพง
นายอภิชาต สังฆอารี นายกสมาคม ไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า รายได้ตลาดต่างประเทศ ที่ ททท.ตั้งเป้าหมายปีหน้าเติบโต 5% นั้นเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด และน่าจะสามารถทำได้จริง ซึ่งตรงกับตัวเลขที่ภาคเอกชนได้คำนวนณไว้ แต่ทั้งนี้ การเติบโตจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอยู่กับปัจจัยความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศไทยด้วย ที่ต้องเร่งหาข้อยุติให้เร็วที่สุด เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว