บันทึกประวัติศาสตร์แห่งการเป็นผู้ผลิตที่ยิ่งใหญ่ผ่านรถยนต์นับ 50 ล้านคัน
ตั้งแต่ ค.ศ. 1891 จนกระทั่งช่วงปลายของยุค ทเวนตี้ส์ (1920s) วงการรถยนต์มีการพัฒนารวดเร็วและรุนแรงเป็นอย่างมาก โดยเปอโยต์ก็ได้ขยายไลน์การผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นโดยเริ่มต้นจากการผลิตรถยนต์รุ่น 3 สู่ตลาด จนกระทั่งสามารถพัฒนารถยนต์แบบ 4 สูบ ขึ้นเป็นคันแรกในรุ่น 39 ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 1902 นั่นเอง
ขณะเดียวกันในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1893 รถยนต์คันแรกที่วิ่งบนถนนของอิตาลีก็คือ รถยนต์ 4 ที่นั่ง Peugeot Type 3 ของเปอโยต์นั่นเอง เป็นการแสดงให้เห็นว่าเปอโยต์เจ้าแห่งการบุกเบิกโดยแท้จริงหลังจากนั้นเปอโยต์มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาทั้งการขยายโรงงานผลิต และขยายตลาดไปในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป และอเมริกา รวมไปถึงการพัฒนาด้านรถแข่งซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเปอโยต์
ค.ศ. 1929 เป็นการเข้าสู่ยุคใหม่ของสังคมประชาธิปไตยและระบบทุนนิยม การผลิตรถยนต์ก็เช่นกันที่เข้าสู่ยุคของแมสโปรดัคชั่น มีการผลิตรถยนต์ออกมาในจำนวนมหาศาล และในปีเดียวกันนี้รถยนต์รุ่น 201 เป็นรถยนต์รุ่นแรกของเปอโยต์ที่ใช้ระบบเรียกชื่อแบบมีเลข 0 ตรงกลาง (Central zero system) ซึ่งตัวเลขแรกของรหัสนั้นบอกถึงขนาดของรถยนต์ และตัวเลขสุดท้ายนั้นบอกลำดับรุ่นการผลิตนั่นเอง
โดยมีเลข 0 ตรงกลางเป็นแกนกลางของระบบ การเรียกชื่อรถยนต์เปอโยต์ระบบนี้ยังคงใช้มาจนกระทั่งปัจจุบัน นอกจากนั้น เปอโยต์ 201 ยังเป็นตัวแปรสำคัญในการเริ่มต้นด้านเทคโนโลยียานยนต์ เนื่องจากเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนสองล้อหน้าคันแรกของโลกนั่นเอง
ยุค 1960 เป็นต้นมา เปอโยต์ก็เริ่มพัฒนาการจัดจำหน่ายในระดับสากลมากขึ้น ซึ่งพบว่าด้วยยอดขายในต่างประเทศมีอัตราการขยายตัวของการผลิตจาก 40% ในปี 1965 เป็น 54% ในปี 1973 ทำให้เปอโยต์ตัดสินใจเปิดตลาดระดับสากล โดยบริษัทสาขาแห่งแรกในต่างประเทศก่อตั้งที่เยอรมนีเมื่อปี 1966 หลังจากนั้นไม่นานสาขาในเบลเยี่ยม เกรทบริเทน และสวีเดนก็เปิดตัวตามมา
งานปารีสมอเตอร์โชว์ในปี 1968 เปอโยต์ได้นำรถซาลูนรุ่นแรก 504 มาอวดโฉมแก่สายตาผู้คน ต่อมาเปอโยต์ 504 นี้ก็ได้รับการโหวตให้เป็นรถยนต์แห่งปีในอีกหนึ่งปีให้หลัง ทั้งนี้เนื่องด้วยยอดจำหน่ายกว่า 3.6 ล้านคัน ใน 4 รูปแบบให้เลือก และยิ่งกว่านั้น 504 ยังคงมีการประกอบขึ้นจนถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2006 ในประเทศไนจีเรีย ถือว่าเป็นรถยนต์ที่มีช่วงอายุการผลิตยาวนานที่สุดรุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้
การแข่งขันรถยนต์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เปอโยต์ไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนา ในปี 1991 เปอโยต์ 905 ก็โชว์ความสามารถในการคว้าชัยชนะแรกที่ญี่ปุ่นในการแข่งขัน ซูซูกะ เซอร์กิต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ World Championship ที่ 905 ได้รับชัยชนะในปีถัดมา และปี 1992 เช่นกัน เปอโยต์ 905 ก็สามารถคว้าชัยชนะในสนามของ เลอมองส์ 24 ชั่วโมงได้สำเร็จ แล้วความสำเร็จสูงสุดของเปอโยต์ 905 คือสร้างประวัติศาสตร์ไว้ในการแข่งขันเลอมองส์ ด้วยการทำทริปเปิลแชมป์ใน ปี 1993 นั่นเอง
ปี 1995 เปอโยต์ส่ง 106 ซึ่งเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าออกจำหน่าย ปรากฏว่ากลายเป็นรถยนต์ปลอดมลพิษที่ขายดีที่สุดในยุโรป ในขณะเดียวกันก็มีการเปิดตัวสโลแกนใหม่พร้อมกับเปอโยต์รุ่น 406 ว่า “The drive of your life” โดยมุ่งสร้างรากฐานของเปอโยต์ให้มีความยอดเยี่ยม เต็มเปี่ยมด้วยพลังและความสร้างสรรค์ ภายใต้รูปลักษณ์ที่โดดเด่นสง่างาม ทั้งหมดนี้เกิดจากการพัฒนาด้านนวัตกรรมต่างๆอย่างไม่หยุดยั้งนั่นเอง
เดือนพฤษภาคม ปี 1997 เปอโยต์ 406 Coupe ที่ออกแบบโดย Pininfarina นั้น เป็นรถยนต์ที่สง่างามเสมอแม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ด้วยเส้นสายบนตัวถังที่สมบูรณ์แบบที่สุด และกลายเป็นจุดขายสำคัญในรถยนต์รุ่นใหม่ของเปอโยต์มาจนถึงทุกวันนี้
โปรดติดตามตอนต่อไป
ตั้งแต่ ค.ศ. 1891 จนกระทั่งช่วงปลายของยุค ทเวนตี้ส์ (1920s) วงการรถยนต์มีการพัฒนารวดเร็วและรุนแรงเป็นอย่างมาก โดยเปอโยต์ก็ได้ขยายไลน์การผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นโดยเริ่มต้นจากการผลิตรถยนต์รุ่น 3 สู่ตลาด จนกระทั่งสามารถพัฒนารถยนต์แบบ 4 สูบ ขึ้นเป็นคันแรกในรุ่น 39 ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 1902 นั่นเอง
ขณะเดียวกันในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1893 รถยนต์คันแรกที่วิ่งบนถนนของอิตาลีก็คือ รถยนต์ 4 ที่นั่ง Peugeot Type 3 ของเปอโยต์นั่นเอง เป็นการแสดงให้เห็นว่าเปอโยต์เจ้าแห่งการบุกเบิกโดยแท้จริงหลังจากนั้นเปอโยต์มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาทั้งการขยายโรงงานผลิต และขยายตลาดไปในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป และอเมริกา รวมไปถึงการพัฒนาด้านรถแข่งซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของเปอโยต์
ค.ศ. 1929 เป็นการเข้าสู่ยุคใหม่ของสังคมประชาธิปไตยและระบบทุนนิยม การผลิตรถยนต์ก็เช่นกันที่เข้าสู่ยุคของแมสโปรดัคชั่น มีการผลิตรถยนต์ออกมาในจำนวนมหาศาล และในปีเดียวกันนี้รถยนต์รุ่น 201 เป็นรถยนต์รุ่นแรกของเปอโยต์ที่ใช้ระบบเรียกชื่อแบบมีเลข 0 ตรงกลาง (Central zero system) ซึ่งตัวเลขแรกของรหัสนั้นบอกถึงขนาดของรถยนต์ และตัวเลขสุดท้ายนั้นบอกลำดับรุ่นการผลิตนั่นเอง
โดยมีเลข 0 ตรงกลางเป็นแกนกลางของระบบ การเรียกชื่อรถยนต์เปอโยต์ระบบนี้ยังคงใช้มาจนกระทั่งปัจจุบัน นอกจากนั้น เปอโยต์ 201 ยังเป็นตัวแปรสำคัญในการเริ่มต้นด้านเทคโนโลยียานยนต์ เนื่องจากเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนสองล้อหน้าคันแรกของโลกนั่นเอง
ยุค 1960 เป็นต้นมา เปอโยต์ก็เริ่มพัฒนาการจัดจำหน่ายในระดับสากลมากขึ้น ซึ่งพบว่าด้วยยอดขายในต่างประเทศมีอัตราการขยายตัวของการผลิตจาก 40% ในปี 1965 เป็น 54% ในปี 1973 ทำให้เปอโยต์ตัดสินใจเปิดตลาดระดับสากล โดยบริษัทสาขาแห่งแรกในต่างประเทศก่อตั้งที่เยอรมนีเมื่อปี 1966 หลังจากนั้นไม่นานสาขาในเบลเยี่ยม เกรทบริเทน และสวีเดนก็เปิดตัวตามมา
งานปารีสมอเตอร์โชว์ในปี 1968 เปอโยต์ได้นำรถซาลูนรุ่นแรก 504 มาอวดโฉมแก่สายตาผู้คน ต่อมาเปอโยต์ 504 นี้ก็ได้รับการโหวตให้เป็นรถยนต์แห่งปีในอีกหนึ่งปีให้หลัง ทั้งนี้เนื่องด้วยยอดจำหน่ายกว่า 3.6 ล้านคัน ใน 4 รูปแบบให้เลือก และยิ่งกว่านั้น 504 ยังคงมีการประกอบขึ้นจนถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2006 ในประเทศไนจีเรีย ถือว่าเป็นรถยนต์ที่มีช่วงอายุการผลิตยาวนานที่สุดรุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้
การแข่งขันรถยนต์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เปอโยต์ไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนา ในปี 1991 เปอโยต์ 905 ก็โชว์ความสามารถในการคว้าชัยชนะแรกที่ญี่ปุ่นในการแข่งขัน ซูซูกะ เซอร์กิต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ World Championship ที่ 905 ได้รับชัยชนะในปีถัดมา และปี 1992 เช่นกัน เปอโยต์ 905 ก็สามารถคว้าชัยชนะในสนามของ เลอมองส์ 24 ชั่วโมงได้สำเร็จ แล้วความสำเร็จสูงสุดของเปอโยต์ 905 คือสร้างประวัติศาสตร์ไว้ในการแข่งขันเลอมองส์ ด้วยการทำทริปเปิลแชมป์ใน ปี 1993 นั่นเอง
ปี 1995 เปอโยต์ส่ง 106 ซึ่งเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าออกจำหน่าย ปรากฏว่ากลายเป็นรถยนต์ปลอดมลพิษที่ขายดีที่สุดในยุโรป ในขณะเดียวกันก็มีการเปิดตัวสโลแกนใหม่พร้อมกับเปอโยต์รุ่น 406 ว่า “The drive of your life” โดยมุ่งสร้างรากฐานของเปอโยต์ให้มีความยอดเยี่ยม เต็มเปี่ยมด้วยพลังและความสร้างสรรค์ ภายใต้รูปลักษณ์ที่โดดเด่นสง่างาม ทั้งหมดนี้เกิดจากการพัฒนาด้านนวัตกรรมต่างๆอย่างไม่หยุดยั้งนั่นเอง
เดือนพฤษภาคม ปี 1997 เปอโยต์ 406 Coupe ที่ออกแบบโดย Pininfarina นั้น เป็นรถยนต์ที่สง่างามเสมอแม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ด้วยเส้นสายบนตัวถังที่สมบูรณ์แบบที่สุด และกลายเป็นจุดขายสำคัญในรถยนต์รุ่นใหม่ของเปอโยต์มาจนถึงทุกวันนี้
โปรดติดตามตอนต่อไป