ข่าวในประเทศ - “ทาทา กรุ๊ป” ซื้อกิจการเอสยูวีหรู “แลนด์โรเวอร์” ไม่กระทบแผนหวนฟื้นตลาดในไทย Guava International Limited ผู้แทนรายใหม่ ประกาศเดินหน้าลุยแน่ปลายปีนี้ เผยปลายเดือนสิงหาคม หรือต้นกันยายน รถล็อตแรกบางส่วนจะเข้ามาถึงไทยแล้ว และอาจจะมีการเผยโฉมนำร่อง ก่อนเปิดตัวสู่สาธารณชนและขายอย่างเป็นทางการ ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008
โดยมี “ฟรีแลนเดอร์2” เป็นหัวหอกดันยอดขาย และยังมีรุ่นอื่นๆ ให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ ทั้ง “ดิสคัพเวอรี่” และ “ เรนจ์โรเวอร์” รวมถึงเตรียมส่งทางเลือกใหม่ “ดีเฟนเดอร์” เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.4 ลิตร เอาใจคนพันธุ์ลุยที่เรียกร้องมามากด้วย พร้อมกันนี้ยังมุ่งเน้นการบริการหลังการขายเป็นหัวใจสำคัญ ยอมควักงบ 40 ล้านบาท สร้างศูนย์เซอร์วิสเซ็นเตอร์ ที่ถนนพระราม 3 ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีทันสมัย และช่างเทคนิคจากต่างประเทศมาประจำถึง 3 คน เรียกว่าลูกค้าเก่าหรือใหม่สบายใจได้ กับการหวนรุกตลาดเอสยูวีหรูครั้งนี้
หลังจาก Guava International Limited ได้มีการแถลงข่าวเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์อเนกประสงค์เอสยูวีหรู “แลนด์โรเวอร์” ในประเทศไทย แทนกลุ่มรถหรู(Premier Automotive Group : PAG) ของฟอร์ด ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2551 เป็นต้นไป โดยยังคงดำเนินงานภายใต้ชื่อ “แลนด์โรเวอร์ ประเทศไทย” (LAND ROVER THAILAND) ต่อไป และประกาศจะมีการเปิดเผยแผนธุรกิจ ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนที่ผ่านมา
แต่ปรากฏว่าผ่านมาจนถึงเดือนสิงหาคมนี้ กลับยังไม่มีความเคลื่อนไหวถึงอนาคตของแลนด์โรเวอร์ในไทยแต่อย่างใด และที่สำคัญเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทาทากรุ๊ปได้เข้าซื้อกิจการแบรนด์รถยนต์ “จากัวร์” และ “แลนด์โรเวอร์” จากฟอร์ด มอเตอร์ส ด้วยมูลค่ากว่า 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งทำให้อนาคตของแบรนด์แลนด์โรเวอร์ในประเทศไทยไม่มีความชัดเจนมากขึ้น
“Guava International Limited ยังจะเป็นผู้นำเข้ารถยนต์และอะไหล่แลนด์โรเวอร์ในไทยแน่นอน การเข้าซื้อแลนด์โรเวอร์ของทาทากรุ๊ป ไม่มีผลต่อการเป็นผู้นำของเราแต่อย่างใด ทุกอย่างยังจะเป็นไปตามสัญญาเช่นเดิม โดยขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการเตรียมการ และปลายเดือนสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายนนี้ จะมีรถยนต์แลนด์โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ 2 เข้ามาไทยบางส่วน”
นั่นคือคำยืนยันล่าสุดจาก “วิกรานต์ อมาตยกุล” ผู้จัดการทั่วไป แลนด์โรเวอร์ ประเทศไทย เปิดเผยกับ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” และว่า ล็อตแรกที่นำเข้ามาเป็นเพียงบางส่วน เพื่อทดลองระบบการนำเข้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางเทคนิคนำเข้ารถของศุลกากร และที่สำคัญการคิดอัตราภาษีต่างๆ ซึ่งตรงนี้จะมีผลต่อการตั้งราคารถยนต์แลนด์โรเวอร์ต่อไป
“ทั้งนี้เมื่อได้ผ่านขั้นตอนการนำเข้าแล้ว อาจจะมีการแนะนำรถยนต์ฟรีแลนเดอร์2 อย่างไม่เป็นทางการ ประมาณช่วงเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน ส่วนการเปิดตัวสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการ จะมีขึ้นในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป หรือมหกรรมยานยนต์ ที่เมืองทองธานีปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคมนี้แน่นอน”
วิกรานต์กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกฟรีแลนเดอร์2 เป็นรุ่นหลักในการแนะนำสู่ตลาดไทยอีกครั้ง เนื่องจากเป็นคอมแพ็กต์เอสยูวีระดับหรูที่ได้รับความนิยมมาก ด้วยรูปโฉมโดดเด่นแบบสปอร์ตดีไซน์ การตกแต่งภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางและหรูหรา เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และฟรีแลนเดอร์เดิมก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้าในไทยเช่นกัน และรุ่นใหม่ที่จะนำเข้ามาทำตลาด เป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.2 ลิตร ทีดี4 ซึ่งมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีกว่าเดิม
ส่วนการที่ราคาน้ำมันดีเซลในไทยปรับตัวสูงมากกว่าน้ำมันเบนซิน จนส่งผลต่อยอดขายรถเครื่องยนต์ดีเซลนั้น ไม่น่าจะมีผลต่อแผนการทำตลาดของแลนด์โรเวอร์ เพราะจุดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ยังคงอยู่ที่อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ต่ำกว่าเบนซิน และให้แรงบิดที่สูงกว่ามาก จึงสามารถตอบสนองการขับขี่ได้ดีกว่า ประกอบกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถประเภทนี้ ส่วนใหญ่มีความพร้อมที่จะแบกรับภาระตรงนี้อยู่แล้ว ปัญหาราคาน้ำมันดีเซลแพงจึงไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
สำหรับฟรีแลนเดอร์ 2 ใหม่ เป็นรถที่ตอบสนองการขับขี่สะดวกสบาย ทั้งแบบออนโรดและออฟโรด ขับเคลื่อนจากขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร ทีดี4 ที่ให้อัตราความประหยัดน้ำมันที่ดีกว่าเดิม พร้อมระบบขับเคลื่อน Terrain Response ที่ไม่เหมือนใคร สามารถปรับพลังและการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับทุกสภาวะช่วยให้การขับขี่ออฟโรดเป็นไปอย่างง่ายดาย และสะดวกสบายกับปุ่มสตาร์ทและดับเครื่องยนต์แบบไม่ต้องใช้กุญแจ
“ราคารถขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะต้องรอดูกระบวนการทางศุลกากรก่อน แต่แน่นอนคงต้องสูงกว่าฟรีแลนเดอร์รุ่นเดิม ที่ประกอบในไทยทำให้มีราคาได้เพียงกว่า 2 ล้านบาท ส่วนรถรุ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ดิสคัฟเวอรี่ หรือเรนจ์ โรเวอร์ จะนำเข้ามาตอบสนองลูกค้าพร้อมๆ กันเช่นเดิม เพราะยังมีผู้ที่ชื่นชอบอยู่มาก และนอกจากนี้ยังจะมีโปรดักซ์ใหม่ๆ อย่างแลนโรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ ออฟโรดแท้ๆ เข้ามาทำตลาดด้วย”
ทั้งนี้แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ (Land Rover Defender) แม้จะมีรูปลักษณ์เหลี่ยมๆ ทรงดั่งเดิม และหากนำเข้าจะมีราคาสูงมาก แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบและเรียกร้องพอสมควร ทำให้แลนด์โรเวอร์ ประเทศไทย จะนำเข้ามาทำตลาดในช่วงปลายปีนี้เช่นกัน โดยเป็นรถอเนกประสงค์แบบออฟโรด วางเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.4 ลิตร ที่ให้กำลัง 122 แรงม้า
วิกรานต์กล่าวต่อว่า สำหรับการทำเข้ามาทำตลาดครั้งนี้ จะเน้นบริการหลังการขายเป็นสำคัญ เพื่อรองรับฐานลูกค้าเก่าและใหม่ในอนาคต ดังนั้นช่วงนี้แลนด์โรเวอร์ประเทศไทย จึงมุ่งเตรียมความพร้อมและสร้างความแข็งแกร่งให้กับศูนย์บริการ โดยได้ใช้เงินลงทุน 30-40 ล้านบาท ก่อสร้างศูนย์เซอร์วิสเซ็นเตอร์ ที่ถนนพระราม 3 ซึ่งจะมีความพร้อมทั้งช่างฝีมือและเครื่องมือทันสมัยรองรับลูกค้า
“ศูนย์เซอร์วิสเซ็นเตอร์ที่กำลังก่อสร้างนี้ ถือว่ามีเครื่องมือเทคโนโลยีทันสมัย และโดยเฉพาะช่างเทคนิคจากต่างประเทศ ที่มีความชำนาญเกี่ยวกับรถยนต์แลนด์โรเวอร์โดยตรงมาประจำถึง 3 คน ทำให้ต่อไปปัญหาต่างๆ สามารถแก้ไขได้ทันที”
สำหรับดีลเลอร์ หรือตัวแทนจำหน่าย ยังคงเป็นบริษัท ไทยอัลติเมทคาร์ จำกัด เช่นเดิม โดยปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการ 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครราชสีมา และภูเก็ต ซึ่งค่อนข้างครอบคลุมและเพียงพอต่อการรองรับลูกค้า ณ ปัจจุบันได้
ถึงตรงนี้บรรดาสาวกเอสยูวีหรู “แลนด์โรเวอร์” คงได้กลับมาคึกคักกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าที่อุ่นใจได้ในเรื่องศูนย์บริการและอะไหล่ ขณะที่ผู้ต้องการถอยรถรุ่นใหม่ๆ ปลายปีนี้เตรียมควักกระเป๋าได้
โดยมี “ฟรีแลนเดอร์2” เป็นหัวหอกดันยอดขาย และยังมีรุ่นอื่นๆ ให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ ทั้ง “ดิสคัพเวอรี่” และ “ เรนจ์โรเวอร์” รวมถึงเตรียมส่งทางเลือกใหม่ “ดีเฟนเดอร์” เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.4 ลิตร เอาใจคนพันธุ์ลุยที่เรียกร้องมามากด้วย พร้อมกันนี้ยังมุ่งเน้นการบริการหลังการขายเป็นหัวใจสำคัญ ยอมควักงบ 40 ล้านบาท สร้างศูนย์เซอร์วิสเซ็นเตอร์ ที่ถนนพระราม 3 ซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีทันสมัย และช่างเทคนิคจากต่างประเทศมาประจำถึง 3 คน เรียกว่าลูกค้าเก่าหรือใหม่สบายใจได้ กับการหวนรุกตลาดเอสยูวีหรูครั้งนี้
หลังจาก Guava International Limited ได้มีการแถลงข่าวเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์อเนกประสงค์เอสยูวีหรู “แลนด์โรเวอร์” ในประเทศไทย แทนกลุ่มรถหรู(Premier Automotive Group : PAG) ของฟอร์ด ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2551 เป็นต้นไป โดยยังคงดำเนินงานภายใต้ชื่อ “แลนด์โรเวอร์ ประเทศไทย” (LAND ROVER THAILAND) ต่อไป และประกาศจะมีการเปิดเผยแผนธุรกิจ ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนที่ผ่านมา
แต่ปรากฏว่าผ่านมาจนถึงเดือนสิงหาคมนี้ กลับยังไม่มีความเคลื่อนไหวถึงอนาคตของแลนด์โรเวอร์ในไทยแต่อย่างใด และที่สำคัญเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทาทากรุ๊ปได้เข้าซื้อกิจการแบรนด์รถยนต์ “จากัวร์” และ “แลนด์โรเวอร์” จากฟอร์ด มอเตอร์ส ด้วยมูลค่ากว่า 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งทำให้อนาคตของแบรนด์แลนด์โรเวอร์ในประเทศไทยไม่มีความชัดเจนมากขึ้น
“Guava International Limited ยังจะเป็นผู้นำเข้ารถยนต์และอะไหล่แลนด์โรเวอร์ในไทยแน่นอน การเข้าซื้อแลนด์โรเวอร์ของทาทากรุ๊ป ไม่มีผลต่อการเป็นผู้นำของเราแต่อย่างใด ทุกอย่างยังจะเป็นไปตามสัญญาเช่นเดิม โดยขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการเตรียมการ และปลายเดือนสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายนนี้ จะมีรถยนต์แลนด์โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ 2 เข้ามาไทยบางส่วน”
นั่นคือคำยืนยันล่าสุดจาก “วิกรานต์ อมาตยกุล” ผู้จัดการทั่วไป แลนด์โรเวอร์ ประเทศไทย เปิดเผยกับ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” และว่า ล็อตแรกที่นำเข้ามาเป็นเพียงบางส่วน เพื่อทดลองระบบการนำเข้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางเทคนิคนำเข้ารถของศุลกากร และที่สำคัญการคิดอัตราภาษีต่างๆ ซึ่งตรงนี้จะมีผลต่อการตั้งราคารถยนต์แลนด์โรเวอร์ต่อไป
“ทั้งนี้เมื่อได้ผ่านขั้นตอนการนำเข้าแล้ว อาจจะมีการแนะนำรถยนต์ฟรีแลนเดอร์2 อย่างไม่เป็นทางการ ประมาณช่วงเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน ส่วนการเปิดตัวสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการ จะมีขึ้นในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป หรือมหกรรมยานยนต์ ที่เมืองทองธานีปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคมนี้แน่นอน”
วิกรานต์กล่าวว่า สาเหตุที่เลือกฟรีแลนเดอร์2 เป็นรุ่นหลักในการแนะนำสู่ตลาดไทยอีกครั้ง เนื่องจากเป็นคอมแพ็กต์เอสยูวีระดับหรูที่ได้รับความนิยมมาก ด้วยรูปโฉมโดดเด่นแบบสปอร์ตดีไซน์ การตกแต่งภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางและหรูหรา เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และฟรีแลนเดอร์เดิมก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้าในไทยเช่นกัน และรุ่นใหม่ที่จะนำเข้ามาทำตลาด เป็นเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.2 ลิตร ทีดี4 ซึ่งมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีกว่าเดิม
ส่วนการที่ราคาน้ำมันดีเซลในไทยปรับตัวสูงมากกว่าน้ำมันเบนซิน จนส่งผลต่อยอดขายรถเครื่องยนต์ดีเซลนั้น ไม่น่าจะมีผลต่อแผนการทำตลาดของแลนด์โรเวอร์ เพราะจุดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ยังคงอยู่ที่อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ต่ำกว่าเบนซิน และให้แรงบิดที่สูงกว่ามาก จึงสามารถตอบสนองการขับขี่ได้ดีกว่า ประกอบกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถประเภทนี้ ส่วนใหญ่มีความพร้อมที่จะแบกรับภาระตรงนี้อยู่แล้ว ปัญหาราคาน้ำมันดีเซลแพงจึงไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
สำหรับฟรีแลนเดอร์ 2 ใหม่ เป็นรถที่ตอบสนองการขับขี่สะดวกสบาย ทั้งแบบออนโรดและออฟโรด ขับเคลื่อนจากขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร ทีดี4 ที่ให้อัตราความประหยัดน้ำมันที่ดีกว่าเดิม พร้อมระบบขับเคลื่อน Terrain Response ที่ไม่เหมือนใคร สามารถปรับพลังและการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับทุกสภาวะช่วยให้การขับขี่ออฟโรดเป็นไปอย่างง่ายดาย และสะดวกสบายกับปุ่มสตาร์ทและดับเครื่องยนต์แบบไม่ต้องใช้กุญแจ
“ราคารถขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะต้องรอดูกระบวนการทางศุลกากรก่อน แต่แน่นอนคงต้องสูงกว่าฟรีแลนเดอร์รุ่นเดิม ที่ประกอบในไทยทำให้มีราคาได้เพียงกว่า 2 ล้านบาท ส่วนรถรุ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ดิสคัฟเวอรี่ หรือเรนจ์ โรเวอร์ จะนำเข้ามาตอบสนองลูกค้าพร้อมๆ กันเช่นเดิม เพราะยังมีผู้ที่ชื่นชอบอยู่มาก และนอกจากนี้ยังจะมีโปรดักซ์ใหม่ๆ อย่างแลนโรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ ออฟโรดแท้ๆ เข้ามาทำตลาดด้วย”
ทั้งนี้แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ (Land Rover Defender) แม้จะมีรูปลักษณ์เหลี่ยมๆ ทรงดั่งเดิม และหากนำเข้าจะมีราคาสูงมาก แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบและเรียกร้องพอสมควร ทำให้แลนด์โรเวอร์ ประเทศไทย จะนำเข้ามาทำตลาดในช่วงปลายปีนี้เช่นกัน โดยเป็นรถอเนกประสงค์แบบออฟโรด วางเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.4 ลิตร ที่ให้กำลัง 122 แรงม้า
วิกรานต์กล่าวต่อว่า สำหรับการทำเข้ามาทำตลาดครั้งนี้ จะเน้นบริการหลังการขายเป็นสำคัญ เพื่อรองรับฐานลูกค้าเก่าและใหม่ในอนาคต ดังนั้นช่วงนี้แลนด์โรเวอร์ประเทศไทย จึงมุ่งเตรียมความพร้อมและสร้างความแข็งแกร่งให้กับศูนย์บริการ โดยได้ใช้เงินลงทุน 30-40 ล้านบาท ก่อสร้างศูนย์เซอร์วิสเซ็นเตอร์ ที่ถนนพระราม 3 ซึ่งจะมีความพร้อมทั้งช่างฝีมือและเครื่องมือทันสมัยรองรับลูกค้า
“ศูนย์เซอร์วิสเซ็นเตอร์ที่กำลังก่อสร้างนี้ ถือว่ามีเครื่องมือเทคโนโลยีทันสมัย และโดยเฉพาะช่างเทคนิคจากต่างประเทศ ที่มีความชำนาญเกี่ยวกับรถยนต์แลนด์โรเวอร์โดยตรงมาประจำถึง 3 คน ทำให้ต่อไปปัญหาต่างๆ สามารถแก้ไขได้ทันที”
สำหรับดีลเลอร์ หรือตัวแทนจำหน่าย ยังคงเป็นบริษัท ไทยอัลติเมทคาร์ จำกัด เช่นเดิม โดยปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการ 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครราชสีมา และภูเก็ต ซึ่งค่อนข้างครอบคลุมและเพียงพอต่อการรองรับลูกค้า ณ ปัจจุบันได้
ถึงตรงนี้บรรดาสาวกเอสยูวีหรู “แลนด์โรเวอร์” คงได้กลับมาคึกคักกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าที่อุ่นใจได้ในเรื่องศูนย์บริการและอะไหล่ ขณะที่ผู้ต้องการถอยรถรุ่นใหม่ๆ ปลายปีนี้เตรียมควักกระเป๋าได้
