ข่าวต่างประเทศ - แม้ว่าจะมีปัญหาในเรื่องที่ไม่สามารถกดราคาขายให้อยู่ในระดับที่ทำกำไรได้ ถ้ารัฐบาลไม่เข้ามาช่วยเรื่องภาษี แต่ทางด้านจีเอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส ก็มั่นใจว่าโปรเจ็กต์การผลิตรถยนต์ที่มีรูปแบบการขับเคลื่อนสไตล์ใหม่ในแบบ Plug-in อย่างโวลต์จะสามารถลุล่วงไปได้ตามกำหนดการ และมั่นใจว่าใน 2 ปีแรกของการทำตลาดจะได้รับความนิยมจากลูกค้าถึงขนาดประกาศยอดผลิตออกมาว่าจะมากถึง 70,000 คัน
บ็อบ ลุตซ์ รองประธานของจีเอ็ม เปิดเผยผ่านทางอี-เมลที่ส่งให้กับสื่อมวลชนในบ้านตัวเองว่าโวลต์มีกำหนดเปิดตัวในปี 2010 และจะเริ่มขายแบบเต็มปีครั้งแรกในปี 2011 ซึ่งในปีแรก จีเอ็มตั้งเป้าเอาไว้ที่ 10,000 คัน และจะเพิ่มเป็น 60,000 คันในปี 2012 ซึ่งทั้งหมดเป็นยอดขายเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา
ลุตซ์ยังกล่าวอีกว่า ยอดขายนี้อาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาของชิ้นส่วนที่อยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนส่งผลกระทบต่อการตั้งราคาขายของโวลต์
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าในช่วงแรกจีเอ็มวางเอาไว้ว่าจะขายไม่เกิน 30,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 1 ล้านบาท แต่จากราคาของแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออนซึ่งเป็นหัวใจหลักของระบบที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้คาดการณ์กันว่าราคาไม่น่าจะต่ำกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.32 ล้านบาท และทำให้จีเอ็มต้องล็อบบี้กับสภาครองเกรสของสหรัฐอเมริกาเพื่อให้สิทธิ์ในด้านภาษีสรรพสามิต เพราะถ้าฝืนทำโดยตั้งราคาตามที่หวังเอาไว้ในช่วงแรกจะประสบปัญหาขาดทุนอย่างแน่นอน
โวลต์เปิดตัวเป็นต้นแบบในปี 2007 และถือเป็นโปรเจ็กต์ที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับจีเอ็มในการเอาชนะโตโยต้าในตลาดพลังงานทางเลือกใหม่ ด้วยรูปแบบการขับเคลื่อนที่ไม่มีใครเคยผลิตในเชิงพาณิชย์มาก่อน ซึ่งตัวรถจะมาในแบบไฮบริดแบบ Plug-in แต่แทนที่จะใช้เครื่องยนต์เป็นตัวขับเคลื่อน กลับเปลี่ยนหน้าที่ให้เป็นปั่นกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่ และให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน โดยตัวรถสามารถเสียบปลักเข้ากับไฟบ้านเพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้าได้
นอกจากนั้นตัวรถมีจุดเด่นตรงที่สามารถแล่นในช่วงระยะทาง 64 กิโลเมตรแรกโดยอาศัยพลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากการชาร์จไฟจนเต็มโดยที่ไม่ต้องให้เครื่องยนต์ทำงาน ซึ่งเท่ากับว่าใครที่ใช้งานในระยะทางไม่เกินจากนี้ก็ไม่ต้องเติมน้ำมันเลย อาศัยเฉพาะการชาร์จไฟฟ้าจากบ้านเท่านั้น
แต่ถ้าต้องขับเกินระยะทาง 64 กิโลเมตร เครื่องยนต์ก็จะเริ่มทำงานเพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้าที่สูญเสียไปเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่ ซึ่งเมื่อรวมกระแสไฟฟ้าทั้งจากการชาร์จและการปั่นโดยเครื่องยนต์แล้ว ตัวรถสามรถวิ่งทำระยะทางได้มากถึง 643 กิโลเมตร ก่อนที่จะแวะปั๊มเพื่อเติมน้ำมันให้กับเครื่องยนต์ทำงานต่อ
บ็อบ ลุตซ์ รองประธานของจีเอ็ม เปิดเผยผ่านทางอี-เมลที่ส่งให้กับสื่อมวลชนในบ้านตัวเองว่าโวลต์มีกำหนดเปิดตัวในปี 2010 และจะเริ่มขายแบบเต็มปีครั้งแรกในปี 2011 ซึ่งในปีแรก จีเอ็มตั้งเป้าเอาไว้ที่ 10,000 คัน และจะเพิ่มเป็น 60,000 คันในปี 2012 ซึ่งทั้งหมดเป็นยอดขายเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา
ลุตซ์ยังกล่าวอีกว่า ยอดขายนี้อาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาของชิ้นส่วนที่อยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนส่งผลกระทบต่อการตั้งราคาขายของโวลต์
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าในช่วงแรกจีเอ็มวางเอาไว้ว่าจะขายไม่เกิน 30,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 1 ล้านบาท แต่จากราคาของแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออนซึ่งเป็นหัวใจหลักของระบบที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้คาดการณ์กันว่าราคาไม่น่าจะต่ำกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.32 ล้านบาท และทำให้จีเอ็มต้องล็อบบี้กับสภาครองเกรสของสหรัฐอเมริกาเพื่อให้สิทธิ์ในด้านภาษีสรรพสามิต เพราะถ้าฝืนทำโดยตั้งราคาตามที่หวังเอาไว้ในช่วงแรกจะประสบปัญหาขาดทุนอย่างแน่นอน
โวลต์เปิดตัวเป็นต้นแบบในปี 2007 และถือเป็นโปรเจ็กต์ที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับจีเอ็มในการเอาชนะโตโยต้าในตลาดพลังงานทางเลือกใหม่ ด้วยรูปแบบการขับเคลื่อนที่ไม่มีใครเคยผลิตในเชิงพาณิชย์มาก่อน ซึ่งตัวรถจะมาในแบบไฮบริดแบบ Plug-in แต่แทนที่จะใช้เครื่องยนต์เป็นตัวขับเคลื่อน กลับเปลี่ยนหน้าที่ให้เป็นปั่นกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่ และให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน โดยตัวรถสามารถเสียบปลักเข้ากับไฟบ้านเพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้าได้
นอกจากนั้นตัวรถมีจุดเด่นตรงที่สามารถแล่นในช่วงระยะทาง 64 กิโลเมตรแรกโดยอาศัยพลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากการชาร์จไฟจนเต็มโดยที่ไม่ต้องให้เครื่องยนต์ทำงาน ซึ่งเท่ากับว่าใครที่ใช้งานในระยะทางไม่เกินจากนี้ก็ไม่ต้องเติมน้ำมันเลย อาศัยเฉพาะการชาร์จไฟฟ้าจากบ้านเท่านั้น
แต่ถ้าต้องขับเกินระยะทาง 64 กิโลเมตร เครื่องยนต์ก็จะเริ่มทำงานเพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้าที่สูญเสียไปเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่ ซึ่งเมื่อรวมกระแสไฟฟ้าทั้งจากการชาร์จและการปั่นโดยเครื่องยนต์แล้ว ตัวรถสามรถวิ่งทำระยะทางได้มากถึง 643 กิโลเมตร ก่อนที่จะแวะปั๊มเพื่อเติมน้ำมันให้กับเครื่องยนต์ทำงานต่อ
