สิ่งหนึ่งที่มักจะกวนใจบรรดาเศรษฐีที่มีเงินถุงเงินถังและชื่นชอบการขับรถคือ การที่จะต้องจ๊ะเอ๋ เจอกับรถสปอร์ตรุ่นเดียวกับของตัวเองบนถนน ทั้งที่มั่นใจอย่างมากแล้วว่า รถสปอร์ตที่ตัวเองซื้อมานั้นมีการผลิตออกมาขายไม่มากนัก..แต่อย่างว่าโลกเรามันแคบ รถสปอร์ตที่ผลิตออกมาขายในระดับหลักร้อยคัน ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมาเจอกันได้โดยไม่ได้นัดหมาย
นั่นก็เลยทำให้เกิดช่องทางในการสร้างความได้เปรียบ และทำให้สำนักออกแบบหัวใจที่สร้างชื่อมานานหลายสิบปีอย่างซากาโต้จับกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนักที่ไม่ชอบอะไรที่เหมือนใคร ในการจับเอารถยนต์ที่มีขายอยู่ในตลาดมาดัดแปลงในการออกแบบทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน รวมถึงสมรรถนะก่อนที่จะส่งขายในแบบลิมิเต็ดเอดิชั่น
นับจากปี 1922 เป็นต้นมา สำนักออกแบบแห่งเมืองมิลานจับเอารถยนต์รุ่นต่างๆ ที่มีขายอยู่ในตลาดโดยไม่แบ่งแยกชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็น เฟียต, นิสสัน, เฟอร์รารี่, อัลฟา หรือแอสตัน มาร์ตินมาดัดแปลงและสร้างความแตกต่าง ก่อนที่แนวคิดนี้จะเปลี่ยนไป เมื่อล่วงเข้าสู่ปี 2000 เมื่อซากาโต้หันมาเจาะตลาดเฉพาะแบรนด์หรูโดยป็นหลัก อย่างปีที่แล้วก็ผลิตเวอร์ชัน C12 Zagato ที่ใช้พื้นฐานของสปอร์ตชื่อเดียวกันนี้ของค่ายสปายเกอร์ออกมาทำตลาด
ส่วนผลงานล่าสุดที่ถูกเปิดตัวในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2008 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คือ การดัดแปลงรถสปอร์ตคูเป้รุ่นดังอย่างคอนติเนนตัลของค่ายเบนท์ลีย์ โดยใช้ชื่อต่อท้ายว่า Zagato GTZ พร้อมกับรูปลักษณ์ที่สวยและดุดันตามแบบฉบับงานดีไซน์ของค่ายนี้
ตัวรถได้รับการพัฒนาบนความร่วมมือระหว่างซากาโต้กับเบนท์ลีย์ และใช้พื้นฐานของรุ่นคอนติเนนตัล สปีด ซึ่งเป็นเวอร์ชันตัวแรงล่าสุดที่เพิ่งขายเมื่อปลายปีที่แล้ว ส่วนชื่อที่ต่อท้าย GTZ เป็นการนำมาจากชื่อของเฟอร์รารี่ 575GTZ ที่ค่ายซากาโต้พัฒนาขึ้นมาเพียงคันเดียวในปี 2006 ตามออร์เดอร์ของนักสะสมรถยนต์ชาวญี่ปุ่น
งานนี้ซากาโต้ไม่ได้แตะต้องในเรื่องของสมรรถนะเพราะว่าเครื่องยนต์ W12 6,000 ซีซี เทอร์โบก็แรงเอาเรื่องอยู่แล้ว เพราะพกม้าในคอกถึง 610 ตัวที่ 6,000 รอบต่อนาที แถมด้วยแรงบิดมหาศาลในระดับ 76.4 กก.-ม. ที่รอบต่ำเพียง 1,750 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะสู่การขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ซึ่งสเปกเดิมๆ มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.3 วินาที และความเร็วปลาย 326 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ดังนั้นการสร้างความแตกต่างจึงอยู่ที่การดัดแปลงตัวถังโดยเสริมและเพิ่มความดุดันเข้าไป โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์โดยรวมของตัวรถ โดยเฉพาะด้านท้ายที่มีการดัดแปลงด้วยตัวถังซึ่งผลิตจากอะลูมิเนียม และมีเส้นสายที่ช่วยเพิ่มความบึกบึนและความสปอร์ตให้กับตัวรถได้เป็นอย่างดี ส่วนไฟท้ายแบบ LED ทรงสวยว่ากันว่ามีราคาไม่แพงอย่างที่คิด เพราะว่าคู่ละ 30,000 ปอนด์ หรือ 2.1 ล้านบาทเท่านั้นเอง ใครที่ขับตามหลังยังไงก็ช่วยใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกันหน่อย
ในตอนแรกของการเปิดตัวที่เจนีวา ซากาโต้บอกว่าเป็นแค่โปรเจ็กต์ต้นแบบสำหรับการจัดแสดง แต่คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าในที่สุดแล้วจะต้องมีผลิตขายอย่างแน่นอน และก็จริงตามคาดแบบไม่ต้องรอกันนานเพราะหลังจากนั้นอีกไม่ถึง 2 เดือนทางเบนท์ลีย์และซากาโต้คอนเฟิร์มว่าจะมีการผลิตออกขาย และมีเพียง 9 คันเท่านั้น โดยคันแรกมีนักสะสมรถยนต์ในอังกฤษสั่งจองแล้ว ส่วนอีก 8 คันที่เหลือในตอนนี้ยังไม่มีข่าวว่าใครจับจองกันไปรึยัง
ส่วนราคาก็แพงกว่ารุ่นธรรมดาแน่นอน แต่ใครเลยจะคิดว่าแค่ดัดแปลงตัวถังจะสูงกว่าถึงเกือบ 3 เท่า เพราะค่าตัวอยู่ที่ 500,000 ปอนด์ หรือ 35 ล้านบาท และทั้งราคาที่แพงอย่างนี้และจำนวนผลิตที่ไม่ถึงหลักสิบ มั่นใจได้เลยว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะเจอกันบนถนน
นั่นก็เลยทำให้เกิดช่องทางในการสร้างความได้เปรียบ และทำให้สำนักออกแบบหัวใจที่สร้างชื่อมานานหลายสิบปีอย่างซากาโต้จับกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนักที่ไม่ชอบอะไรที่เหมือนใคร ในการจับเอารถยนต์ที่มีขายอยู่ในตลาดมาดัดแปลงในการออกแบบทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน รวมถึงสมรรถนะก่อนที่จะส่งขายในแบบลิมิเต็ดเอดิชั่น
นับจากปี 1922 เป็นต้นมา สำนักออกแบบแห่งเมืองมิลานจับเอารถยนต์รุ่นต่างๆ ที่มีขายอยู่ในตลาดโดยไม่แบ่งแยกชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็น เฟียต, นิสสัน, เฟอร์รารี่, อัลฟา หรือแอสตัน มาร์ตินมาดัดแปลงและสร้างความแตกต่าง ก่อนที่แนวคิดนี้จะเปลี่ยนไป เมื่อล่วงเข้าสู่ปี 2000 เมื่อซากาโต้หันมาเจาะตลาดเฉพาะแบรนด์หรูโดยป็นหลัก อย่างปีที่แล้วก็ผลิตเวอร์ชัน C12 Zagato ที่ใช้พื้นฐานของสปอร์ตชื่อเดียวกันนี้ของค่ายสปายเกอร์ออกมาทำตลาด
ส่วนผลงานล่าสุดที่ถูกเปิดตัวในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2008 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คือ การดัดแปลงรถสปอร์ตคูเป้รุ่นดังอย่างคอนติเนนตัลของค่ายเบนท์ลีย์ โดยใช้ชื่อต่อท้ายว่า Zagato GTZ พร้อมกับรูปลักษณ์ที่สวยและดุดันตามแบบฉบับงานดีไซน์ของค่ายนี้
ตัวรถได้รับการพัฒนาบนความร่วมมือระหว่างซากาโต้กับเบนท์ลีย์ และใช้พื้นฐานของรุ่นคอนติเนนตัล สปีด ซึ่งเป็นเวอร์ชันตัวแรงล่าสุดที่เพิ่งขายเมื่อปลายปีที่แล้ว ส่วนชื่อที่ต่อท้าย GTZ เป็นการนำมาจากชื่อของเฟอร์รารี่ 575GTZ ที่ค่ายซากาโต้พัฒนาขึ้นมาเพียงคันเดียวในปี 2006 ตามออร์เดอร์ของนักสะสมรถยนต์ชาวญี่ปุ่น
งานนี้ซากาโต้ไม่ได้แตะต้องในเรื่องของสมรรถนะเพราะว่าเครื่องยนต์ W12 6,000 ซีซี เทอร์โบก็แรงเอาเรื่องอยู่แล้ว เพราะพกม้าในคอกถึง 610 ตัวที่ 6,000 รอบต่อนาที แถมด้วยแรงบิดมหาศาลในระดับ 76.4 กก.-ม. ที่รอบต่ำเพียง 1,750 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะสู่การขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ซึ่งสเปกเดิมๆ มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 4.3 วินาที และความเร็วปลาย 326 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ดังนั้นการสร้างความแตกต่างจึงอยู่ที่การดัดแปลงตัวถังโดยเสริมและเพิ่มความดุดันเข้าไป โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์โดยรวมของตัวรถ โดยเฉพาะด้านท้ายที่มีการดัดแปลงด้วยตัวถังซึ่งผลิตจากอะลูมิเนียม และมีเส้นสายที่ช่วยเพิ่มความบึกบึนและความสปอร์ตให้กับตัวรถได้เป็นอย่างดี ส่วนไฟท้ายแบบ LED ทรงสวยว่ากันว่ามีราคาไม่แพงอย่างที่คิด เพราะว่าคู่ละ 30,000 ปอนด์ หรือ 2.1 ล้านบาทเท่านั้นเอง ใครที่ขับตามหลังยังไงก็ช่วยใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกันหน่อย
ในตอนแรกของการเปิดตัวที่เจนีวา ซากาโต้บอกว่าเป็นแค่โปรเจ็กต์ต้นแบบสำหรับการจัดแสดง แต่คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าในที่สุดแล้วจะต้องมีผลิตขายอย่างแน่นอน และก็จริงตามคาดแบบไม่ต้องรอกันนานเพราะหลังจากนั้นอีกไม่ถึง 2 เดือนทางเบนท์ลีย์และซากาโต้คอนเฟิร์มว่าจะมีการผลิตออกขาย และมีเพียง 9 คันเท่านั้น โดยคันแรกมีนักสะสมรถยนต์ในอังกฤษสั่งจองแล้ว ส่วนอีก 8 คันที่เหลือในตอนนี้ยังไม่มีข่าวว่าใครจับจองกันไปรึยัง
ส่วนราคาก็แพงกว่ารุ่นธรรมดาแน่นอน แต่ใครเลยจะคิดว่าแค่ดัดแปลงตัวถังจะสูงกว่าถึงเกือบ 3 เท่า เพราะค่าตัวอยู่ที่ 500,000 ปอนด์ หรือ 35 ล้านบาท และทั้งราคาที่แพงอย่างนี้และจำนวนผลิตที่ไม่ถึงหลักสิบ มั่นใจได้เลยว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะเจอกันบนถนน