“อภิรักษ์” ถามหาความรับผิดชอบ “คนโจมตีรายวัน” หลังหลุดคดีรถดับเพลิง เผยไม่รู้จักลูกนามเป็นส่วนชี้จะให้ไปสำรวจข้าราชการ-ลูกจ้างกทม.กว่า แสนคนว่าใครเป็นญาติใครคงทำไม่ได้ ส่วนลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ก.ค.นี้มีคำตอบ
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวถึงกระแสข่าวเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) กับนายอภิรักษ์ กรณีลูกชายนายนาม ที่รับราชการสังกัด กทม. ในตำแหน่งเจ้าพนักงานปกครอง 5 ฝ่ายเทศกิจ สำนักงานเขตจตุจักร โดยปฏิเสธว่า ตนเองไม่เคยทราบข้อมูลนี้มาก่อนเพิ่งจะมาทราบจากข่าวที่สื่อมวลชนได้นำเสนอไป และเมื่อพูดตามความเป็นจริงแล้ว กทม.มีข้าราชการ และลูกจ้างกว่า 100,000 คน จะให้ไปสำรวจว่าใครเป็นญาติพี่น้องกับใครคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้อยากเรียกร้องให้ยุติกระบวนการปล่อยข่าวโจมตีรายวัน เพราะถือว่าเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง การกล่าวหาแบบนี้ทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่พัฒนา ซึ่งที่ผ่านมาตนต้องเจอกับการกล่าวหามากว่า 3 ปี และหากมีผลสรุปออกมาอย่างชัดเจนว่าตนหลุดพ้นจากการชี้มูลความผิดอย่างชัดเจนแล้วซึ่งถือว่ามีความบริสุทธิ์ ตนอยากถามว่าคนที่กล่าวหาตนมาตลอดจะแสดงความรับผิดชอบหรือไม่ เพราะผลสรุปนั้นมาจากคตส.ที่แต่ละคนล้วนเป็นผู้ใหญ่มีดุลยพินิจทั้งนั้น ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าฝ่ายตนวิ่งเต้นให้หลุดจากคดีรถดับเพลิงฉาวครั้งนี้ โดยส่วนตัวไม่มีความเห็นและไม่อยากพูดถึง เพราะชัดเจนว่าเป็นการกล่าวหาอย่างชัดเจน ซึ่งการกล่าวหาเช่นนี้ทำให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไปไม่ได้
ทั้งนี้ สำหรับประเด็นดังกล่าวตนยังไม่ได้หารือกับนายนาม และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีการประสานพูดคุยกันนอกจากมีการเชิญให้ตนไปสอบปากคำเท่านั้น และที่ตนเคยทำหนังสือขอเอกสารสรุปผลสอบคดีรถดับเพลิงกี่ครั้ง นายนามก็ไม่เคยตอบกลับมาเป็นทางการแม้แต่ครั้งเดียว
“ส่วนการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. คาดว่าภายในเดือน ก.ค.นี้ พรรคประชาธิปัตย์คงจะมีแนวทางในการวางตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ออกมา ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการหารือกันเพราะขณะนี้พรรคให้ความสำคัญกับการยื่นตรวจสอบรัฐบาลอยู่ ขณะเดียวกันผมจะขอรอให้ คตส.มีผลสรุปการตรวจสอบคดีรถดับเพลิงฉาวออกมาด้วย” นายอภิรักษ์ กล่าว
ด้านนายพิเศษ ยิ้มแย้ม เจ้าพนักงานปกครอง 5 ฝ่ายเทศกิจ สำนักงานเขตจตุจักร ให้สัมภาษณ์ กรณีมีกระแสข่าวพัวพันกับ การหลุดคดีรถและเรือดับเพลิงของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) หลังจาก คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)ที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธาน โดยมติคณะอนุฯไต่สวนคดีรถ เรือดับเพลิง คตส. ให้นายอภิรักษ์หลุดคดีรถและเรือดับเพลิง ของ กทม. ว่า การเข้ามาเป็นข้าราชการกทม.ของตนไม่เกี่ยวข้องกับคดีของนายอภิรักษ์ ส่วนตัวมองว่าเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งผู้ที่ออกมาปล่อยข่าวเข้าใจว่าต้องการกุข่าวเพื่อดิสเครดิตทางการเมือง โดยใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากใคร แต่ได้ใช้ความรู้ความสามารถสอบเข้ามาตามขั้นตอนทุกประการ
นายพิเศษ กล่าวว่า ส่วนการย้ายข้ามสายงานก็สามารถทำได้ เพราะตนมีทั้งวุฒิการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอบเข้ามาเป็นข้าราชการ กทม. ตั้งแต่ ปี 42 ตอนนั้นเป็นราชการระดับ 3 จากนั้นอยู่มาเกือบ 2 ปีขึ้นเป็นระดับ 4 และอีก 3 ปี ก็ขึ้นมาเป็นระดับ 5 ตามขั้นตอน เมื่อต้องการย้ายมาเป็นเจ้าพนักงานปกครอง ฝ่ายเทศกิจ ก็เป็นสิทธิที่ตนสามารถทำได้ เพราะมีวุฒิทั้ง ป.ตรีและ ป.โท ด้านรัฐศาสตร์รับรอง และที่ยังคงระดับ 5 อยู่ได้โดยไม่ต้องกลับไปเริ่มเทียบระดับใหม่ เพราะมีวุฒิ ป.โท รองรับอยู่” นายพิเศษ กล่าวและว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีข้าราชการใน กทม. พูดกันว่าที่ตนขึ้นตำแหน่งได้เร็วเพราะมีเส้นสาย ขอยืนยันว่าที่ผ่านมาได้ทำงานตามหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ไม่เคยใช้อภิสิทธิ์ใดเหนือคนอื่นๆและไม่เคยอวดอ้างว่าเป็นลูกหลานใคร
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวถึงกระแสข่าวเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) กับนายอภิรักษ์ กรณีลูกชายนายนาม ที่รับราชการสังกัด กทม. ในตำแหน่งเจ้าพนักงานปกครอง 5 ฝ่ายเทศกิจ สำนักงานเขตจตุจักร โดยปฏิเสธว่า ตนเองไม่เคยทราบข้อมูลนี้มาก่อนเพิ่งจะมาทราบจากข่าวที่สื่อมวลชนได้นำเสนอไป และเมื่อพูดตามความเป็นจริงแล้ว กทม.มีข้าราชการ และลูกจ้างกว่า 100,000 คน จะให้ไปสำรวจว่าใครเป็นญาติพี่น้องกับใครคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้อยากเรียกร้องให้ยุติกระบวนการปล่อยข่าวโจมตีรายวัน เพราะถือว่าเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง การกล่าวหาแบบนี้ทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่พัฒนา ซึ่งที่ผ่านมาตนต้องเจอกับการกล่าวหามากว่า 3 ปี และหากมีผลสรุปออกมาอย่างชัดเจนว่าตนหลุดพ้นจากการชี้มูลความผิดอย่างชัดเจนแล้วซึ่งถือว่ามีความบริสุทธิ์ ตนอยากถามว่าคนที่กล่าวหาตนมาตลอดจะแสดงความรับผิดชอบหรือไม่ เพราะผลสรุปนั้นมาจากคตส.ที่แต่ละคนล้วนเป็นผู้ใหญ่มีดุลยพินิจทั้งนั้น ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าฝ่ายตนวิ่งเต้นให้หลุดจากคดีรถดับเพลิงฉาวครั้งนี้ โดยส่วนตัวไม่มีความเห็นและไม่อยากพูดถึง เพราะชัดเจนว่าเป็นการกล่าวหาอย่างชัดเจน ซึ่งการกล่าวหาเช่นนี้ทำให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไปไม่ได้
ทั้งนี้ สำหรับประเด็นดังกล่าวตนยังไม่ได้หารือกับนายนาม และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีการประสานพูดคุยกันนอกจากมีการเชิญให้ตนไปสอบปากคำเท่านั้น และที่ตนเคยทำหนังสือขอเอกสารสรุปผลสอบคดีรถดับเพลิงกี่ครั้ง นายนามก็ไม่เคยตอบกลับมาเป็นทางการแม้แต่ครั้งเดียว
“ส่วนการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. คาดว่าภายในเดือน ก.ค.นี้ พรรคประชาธิปัตย์คงจะมีแนวทางในการวางตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ออกมา ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการหารือกันเพราะขณะนี้พรรคให้ความสำคัญกับการยื่นตรวจสอบรัฐบาลอยู่ ขณะเดียวกันผมจะขอรอให้ คตส.มีผลสรุปการตรวจสอบคดีรถดับเพลิงฉาวออกมาด้วย” นายอภิรักษ์ กล่าว
ด้านนายพิเศษ ยิ้มแย้ม เจ้าพนักงานปกครอง 5 ฝ่ายเทศกิจ สำนักงานเขตจตุจักร ให้สัมภาษณ์ กรณีมีกระแสข่าวพัวพันกับ การหลุดคดีรถและเรือดับเพลิงของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) หลังจาก คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)ที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธาน โดยมติคณะอนุฯไต่สวนคดีรถ เรือดับเพลิง คตส. ให้นายอภิรักษ์หลุดคดีรถและเรือดับเพลิง ของ กทม. ว่า การเข้ามาเป็นข้าราชการกทม.ของตนไม่เกี่ยวข้องกับคดีของนายอภิรักษ์ ส่วนตัวมองว่าเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งผู้ที่ออกมาปล่อยข่าวเข้าใจว่าต้องการกุข่าวเพื่อดิสเครดิตทางการเมือง โดยใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากใคร แต่ได้ใช้ความรู้ความสามารถสอบเข้ามาตามขั้นตอนทุกประการ
นายพิเศษ กล่าวว่า ส่วนการย้ายข้ามสายงานก็สามารถทำได้ เพราะตนมีทั้งวุฒิการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอบเข้ามาเป็นข้าราชการ กทม. ตั้งแต่ ปี 42 ตอนนั้นเป็นราชการระดับ 3 จากนั้นอยู่มาเกือบ 2 ปีขึ้นเป็นระดับ 4 และอีก 3 ปี ก็ขึ้นมาเป็นระดับ 5 ตามขั้นตอน เมื่อต้องการย้ายมาเป็นเจ้าพนักงานปกครอง ฝ่ายเทศกิจ ก็เป็นสิทธิที่ตนสามารถทำได้ เพราะมีวุฒิทั้ง ป.ตรีและ ป.โท ด้านรัฐศาสตร์รับรอง และที่ยังคงระดับ 5 อยู่ได้โดยไม่ต้องกลับไปเริ่มเทียบระดับใหม่ เพราะมีวุฒิ ป.โท รองรับอยู่” นายพิเศษ กล่าวและว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีข้าราชการใน กทม. พูดกันว่าที่ตนขึ้นตำแหน่งได้เร็วเพราะมีเส้นสาย ขอยืนยันว่าที่ผ่านมาได้ทำงานตามหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ไม่เคยใช้อภิสิทธิ์ใดเหนือคนอื่นๆและไม่เคยอวดอ้างว่าเป็นลูกหลานใคร
