ข่าวต่างประเทศ - เอธานอลอาจเป็นความหวังสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ด้วยการเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ในยุคน้ำมันแพง แต่การเร่งโหมผลิตเพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดกำลังจะก่อให้เกิดผลร้ายกับสิ่งแวดล้อม เมื่องานวิจัยของมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบียระบุว่าน้ำทะเลในอ่าวเม็กซิโกกำลังมีคุณภาพแย่ขึ้นเรื่อยๆ และเขตอันตรายสำหรับสัตว์น้ำ หรือ Dead Zone ในทะเลกำลังขยายวงกว้างขึ้น
เว็บไซต์แคนาเดี้ยนไดร์ฟเวอร์เปิดเผยคำกล่าวของไซมอน ดอนเนอร์ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย และคริส คุชชาริคแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ที่ชี้ให้เห็นว่า นโยบายในการเร่งผลักดันให้มีการผลิตเอธานอลที่แปรรูปมาจากข้าวโพดของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานทางเลือกใหม่อย่าง E85 ในยุคน้ำมันแพง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านมลพิษในอ่าวเม็กซิโก และทำให้สิ่งมีชิวีตบริเวณชายฝั่งกำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านี้ทางสภาสูงของสหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศนโยบายพลังงานแห่งชาติในการเร่งผลิตเอธานอลด้วยกำลังการผลิต 36,000 ล้านแกลลอนจนถึงปี 2022 โดย 15 ล้านแกลลอนเป็นเอธานอลที่มาจากการใช้ข้าวโพดเป็นวัตถุดิบ
จากการสำรวจของนักวิจัยทั้ง 2 ระบุว่ามีการตรวจพบระดับที่สูงเกินจากปกติของไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่มาจากปุ๋ยซึ่งใช้ในการปลูกพืชสำหรับเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอธานอลในสาหร่ายที่อยู่ใต้น้ำของบริเวณใกล้เคียงพื้นที่เพาะปลูก
เป็นผลให้สาหร่ายเหล่านี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากระดับปกติ และแย่งออกซิเจนที่อยู่ในน้ำจากสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำทะเลเกิดการเน่าเสียอย่างรวดเร็ว เพราะมีระดับออกซิเจนในน้ำลดลง
ขณะเดียวกันปุ๋ยที่ใช้ในการปลูกข้าวโพดซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่กลางประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นอีกตัวการที่ทำให้เกิดปัญหามลพิษอันเนื่องมาจากระดับของไนโตรเจนในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้สูงเกินจนส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและวัฏจักรของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ และน้ำจากแม่น้ำแห่งนี้ก็ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติอีกแห่งที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดมลพิษ
รายงานฉบับบี้ระบุว่าในช่วงฤดูร้อนของแต่ละปี ไนโตรเจนที่เกิดจากผลผลิตของการเพาะปลูกข้าวโพดจะทำให้เกิดการขยายตัวของ ‘พื้นที่อันตราย’ หรือ Dead Zone ในแม่น้ำและอ่าวเม็กซิโก ซึ่งบริเวณนี้จะมีระดับของออกซิเจนในน้ำต่ำมาก และทำให้สัตว์น้ำไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งในปีที่แล้ว เขตอันตรายนี้มีพื้นที่ครอบคลุมถึง 20,000 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว
นอกจากนั้น ดอนเนอร์และคุชชาริคยังได้กล่าวอีกว่าถ้ารัฐบาลต้องการที่จะเร่งดำเนินนโยบายด้านเอธานอลให้บรรลุตามเป้าหมายที่ทางสภาสูงวางไว้ ทั้งแม่น้ำมิสซิสซิปปี้และอ่าวเม็กซิโกจะต้องรับภาระของไนโตรเจนที่สูงเกินจากระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอีกประมาณ 10-19% และจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อแหล่งน้ำธรรมชาติเหล่านี้อย่างแน่นอน
เว็บไซต์แคนาเดี้ยนไดร์ฟเวอร์เปิดเผยคำกล่าวของไซมอน ดอนเนอร์ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย และคริส คุชชาริคแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ที่ชี้ให้เห็นว่า นโยบายในการเร่งผลักดันให้มีการผลิตเอธานอลที่แปรรูปมาจากข้าวโพดของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานทางเลือกใหม่อย่าง E85 ในยุคน้ำมันแพง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านมลพิษในอ่าวเม็กซิโก และทำให้สิ่งมีชิวีตบริเวณชายฝั่งกำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านี้ทางสภาสูงของสหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศนโยบายพลังงานแห่งชาติในการเร่งผลิตเอธานอลด้วยกำลังการผลิต 36,000 ล้านแกลลอนจนถึงปี 2022 โดย 15 ล้านแกลลอนเป็นเอธานอลที่มาจากการใช้ข้าวโพดเป็นวัตถุดิบ
จากการสำรวจของนักวิจัยทั้ง 2 ระบุว่ามีการตรวจพบระดับที่สูงเกินจากปกติของไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่มาจากปุ๋ยซึ่งใช้ในการปลูกพืชสำหรับเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอธานอลในสาหร่ายที่อยู่ใต้น้ำของบริเวณใกล้เคียงพื้นที่เพาะปลูก
เป็นผลให้สาหร่ายเหล่านี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากระดับปกติ และแย่งออกซิเจนที่อยู่ในน้ำจากสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำทะเลเกิดการเน่าเสียอย่างรวดเร็ว เพราะมีระดับออกซิเจนในน้ำลดลง
ขณะเดียวกันปุ๋ยที่ใช้ในการปลูกข้าวโพดซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่กลางประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นอีกตัวการที่ทำให้เกิดปัญหามลพิษอันเนื่องมาจากระดับของไนโตรเจนในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้สูงเกินจนส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและวัฏจักรของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ และน้ำจากแม่น้ำแห่งนี้ก็ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติอีกแห่งที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดมลพิษ
รายงานฉบับบี้ระบุว่าในช่วงฤดูร้อนของแต่ละปี ไนโตรเจนที่เกิดจากผลผลิตของการเพาะปลูกข้าวโพดจะทำให้เกิดการขยายตัวของ ‘พื้นที่อันตราย’ หรือ Dead Zone ในแม่น้ำและอ่าวเม็กซิโก ซึ่งบริเวณนี้จะมีระดับของออกซิเจนในน้ำต่ำมาก และทำให้สัตว์น้ำไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งในปีที่แล้ว เขตอันตรายนี้มีพื้นที่ครอบคลุมถึง 20,000 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว
นอกจากนั้น ดอนเนอร์และคุชชาริคยังได้กล่าวอีกว่าถ้ารัฐบาลต้องการที่จะเร่งดำเนินนโยบายด้านเอธานอลให้บรรลุตามเป้าหมายที่ทางสภาสูงวางไว้ ทั้งแม่น้ำมิสซิสซิปปี้และอ่าวเม็กซิโกจะต้องรับภาระของไนโตรเจนที่สูงเกินจากระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอีกประมาณ 10-19% และจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อแหล่งน้ำธรรมชาติเหล่านี้อย่างแน่นอน