ข่าวในประเทศ - “มิตซูบิชิ” สนองรับนโยบาย Step Up 2010 เดินหน้าชูไทยฐานผลิตสำคัญ ปีนี้ประกาศลงทุนเพิ่มกว่า 5,000 ล้านบาท รองรับโครงการผลิตรถอเนกประสงค์รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในไทยแห่งแรกในโลกปลายปีนี้ ขณะที่อีกส่วนจะลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ รวมถึงปรับระบบการผลิตให้มีประสิทธิภาพ และมั่นใจปีนี้จะทำยอดขายได้ 2.69 หมื่นคัน หรือเติบโต 2%
นายมิจิโร่ อิมาอิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทแม่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศญี่ปุ่น ได้ประกาศนโยบาย Step Up 2010 เพื่อก้าวสู่การเติบโตอย่างมั่นคง หรือมียอดขายจาก 1.337 ล้านคัน เป็น 1.422 ล้านคัน ในปี 2010 โดยได้มอบเป็นนโยบายให้มิตซูบิชิในแต่ละภูมิภาคนำไปดำเนินงาน โดยไทยได้รับมอบหมายในเรื่องของการเป็นฐานผลิตสำคัญของมิตซูบิชิประจำภูมิภาคเอเชียนี้
“บริษัทแม่ได้มอบนโยบายให้ประเทศไทย รักษาการเป็นฐานผลิตสำคัญของมิตซูบิชิ โดยเฉพาะการส่งออกไปทั่วโลก รวมถึงทำตลาดภายในไทย และในปีนี้มิตซูบิชิได้ลงทุนเป็นมูลค่า 5,000 ล้านบาท รองรับโครงการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ ขณะที่เงินลงทุนอีกบางส่วนจะนำไปใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่ และปรับศักยภาพการผลิตของโรงงานมิตซูบิชิ”
ทั้งนี้รถยนต์อเนกประสงค์รุ่นใหม่เป็นโครงการใหญ่ของมิตซูบิชิ และมีกำหนดเปิดตัวสู่ตลาดประมาณไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ถือเป็นรถที่มีการพัฒนาและผลิตออกมาเป็นครั้งแรกในโลก โดยใช้พื้นฐานการผลิตจากปิกอัพรุ่นไทรทัน ซึ่งตามกฎหมายการเสียภาษีสรรพสามิตของไทย เรียกรถประเภทนี้ว่าพีพีวี(PPV) แต่มิตซูบิชิได้พัฒนาให้มีสมรรถนะไม่แตกต่างจากรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวี จึงเป็นรถยนต์ที่คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้า ทั้งในไทยและตลาดทั่วโลก เพราะรถรุ่นนี้จะมีการผลิตเพื่อส่งออกด้วย
นายอิมาอิกล่าวว่า ส่วนการปรับปรุงโรงงานของมิตซูบิชิในไทย เป็นไปตามนโยบายของบริษัทแม่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องการให้โรงงานในไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญ และมีประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลา จึงได้มีการลงทุนเรื่องเครื่องจักรใหม่ และนำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาใช้ แต่ไม่ได้เป็นการขยายไลน์ผลิต หรือรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตแต่อย่างใด
“โรงงานของมิตซูบิชิ มีกำลังการผลิตปีละประมาณ 200,000 คัน แต่ปัจจุบันมีการผลิตอยู่ที่ปีละกว่า 180,000 หมื่นคัน จึงยังไม่จำเป็นต้องลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต เพียงแต่เราต้องเพิ่มศักยภาพการผลิต และพยายามเพิ่มผลิตให้ได้ครบ 200,000 คัน ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด โดยการผลิตทั้งหมดแบ่งเป็นเพื่อการส่งออก 80% ที่เหลือเขายในประเทศ และเป็นการผลิตปิกอัพประมาณ 85-90%”
ในส่วนของโครงการอีโคคาร์ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติ ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ จำเป็นต้องรอความชัดเจนจากบีโอไอก่อน จึงจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ ได้ แต่รถยนต์ในโครงการอีโคคาร์จะเป็นการลงทุนใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับแผนการลงทุนที่ประกาศไปก่อนหน้านี้
นายอิมาอิกล่าวว่า ในส่วนของตลาดรถยนต์ไทยปีนี้ คาดว่าจะเติบโตเพียงเล็กน้อย หากเทียบกับปี 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งมียอดขายประมาณ 3.3 แสนคัน แม้สถานการณ์ความผันผวนทางการเมืองของไทยจะดีขึ้น และน่าจะส่งผลดีต่อสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม แต่ปัจจัยเรื่องของราคาน้ำมันแพง และอัตราค่าครองชีพที่สูงขึ้น จะส่งผลให้ตลาดไม่สามารถเติบโตได้มากนัก
“มิตซูบิชิตั้งเป้าหมายการขายปีนี้ไว้ที่ประมาณ 26,900 คัน เทียบกับปีที่ผ่านมาเติบโตประมาณ 2% ซึ่งเป็นไปตามสภาพตลาด ขณะเดียวกันก็จะสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า รวมถึงการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ สู่ตลาด ตรงนี้จะทำให้มิตซูบิชิสามารถบรรลุเป้าหมายการขายได้”
ล่าสุดบริษัทฯ ได้แนะนำรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร่ ซึ่งเป็นรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีระดับพรีเมี่ยมสู่ตลาดไทย แม้จะเป็นตลาดรถเฉพาะกลุ่มปริมาณการขายไม่มาก 600-700 คันต่อปี แต่ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าจำนวนหนึ่งที่ต้องการ และการนำเข้าปาเจโร่ที่เป็นรถยนต์สมรรถนะยอดเยี่ยมของมิตซูบิชิ จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะแนะนำสู่ตลาดไทยในอนาคตของมิตซูบิชิ เช่นรถยนต์อเนกประสงค์ใหม่ที่ใช้พื้นฐานจากปิกอัพรุ่นไทรทัน ที่จะเปิดตัวช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
สำหรับมิตซูบิชิ ปาเจโร ที่นำเข้ามาจำหน่ายวางเครื่องยนต์ 3.8 ลิตร V6 SOHC 24 วาล์ว พร้อมระบบระวาล์วแปรผัน MIVEC เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ INVECS-II Sportronic ให้พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 33.6 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำเพียง 2,750 รอบต่อนาที ถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWC โดยมีราคาจำหน่าย 3,950,000 บาท
นายมิจิโร่ อิมาอิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทแม่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศญี่ปุ่น ได้ประกาศนโยบาย Step Up 2010 เพื่อก้าวสู่การเติบโตอย่างมั่นคง หรือมียอดขายจาก 1.337 ล้านคัน เป็น 1.422 ล้านคัน ในปี 2010 โดยได้มอบเป็นนโยบายให้มิตซูบิชิในแต่ละภูมิภาคนำไปดำเนินงาน โดยไทยได้รับมอบหมายในเรื่องของการเป็นฐานผลิตสำคัญของมิตซูบิชิประจำภูมิภาคเอเชียนี้
“บริษัทแม่ได้มอบนโยบายให้ประเทศไทย รักษาการเป็นฐานผลิตสำคัญของมิตซูบิชิ โดยเฉพาะการส่งออกไปทั่วโลก รวมถึงทำตลาดภายในไทย และในปีนี้มิตซูบิชิได้ลงทุนเป็นมูลค่า 5,000 ล้านบาท รองรับโครงการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ ขณะที่เงินลงทุนอีกบางส่วนจะนำไปใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่ และปรับศักยภาพการผลิตของโรงงานมิตซูบิชิ”
ทั้งนี้รถยนต์อเนกประสงค์รุ่นใหม่เป็นโครงการใหญ่ของมิตซูบิชิ และมีกำหนดเปิดตัวสู่ตลาดประมาณไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ถือเป็นรถที่มีการพัฒนาและผลิตออกมาเป็นครั้งแรกในโลก โดยใช้พื้นฐานการผลิตจากปิกอัพรุ่นไทรทัน ซึ่งตามกฎหมายการเสียภาษีสรรพสามิตของไทย เรียกรถประเภทนี้ว่าพีพีวี(PPV) แต่มิตซูบิชิได้พัฒนาให้มีสมรรถนะไม่แตกต่างจากรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวี จึงเป็นรถยนต์ที่คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้า ทั้งในไทยและตลาดทั่วโลก เพราะรถรุ่นนี้จะมีการผลิตเพื่อส่งออกด้วย
นายอิมาอิกล่าวว่า ส่วนการปรับปรุงโรงงานของมิตซูบิชิในไทย เป็นไปตามนโยบายของบริษัทแม่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องการให้โรงงานในไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญ และมีประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลา จึงได้มีการลงทุนเรื่องเครื่องจักรใหม่ และนำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาใช้ แต่ไม่ได้เป็นการขยายไลน์ผลิต หรือรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตแต่อย่างใด
“โรงงานของมิตซูบิชิ มีกำลังการผลิตปีละประมาณ 200,000 คัน แต่ปัจจุบันมีการผลิตอยู่ที่ปีละกว่า 180,000 หมื่นคัน จึงยังไม่จำเป็นต้องลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต เพียงแต่เราต้องเพิ่มศักยภาพการผลิต และพยายามเพิ่มผลิตให้ได้ครบ 200,000 คัน ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด โดยการผลิตทั้งหมดแบ่งเป็นเพื่อการส่งออก 80% ที่เหลือเขายในประเทศ และเป็นการผลิตปิกอัพประมาณ 85-90%”
ในส่วนของโครงการอีโคคาร์ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติ ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ จำเป็นต้องรอความชัดเจนจากบีโอไอก่อน จึงจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ ได้ แต่รถยนต์ในโครงการอีโคคาร์จะเป็นการลงทุนใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับแผนการลงทุนที่ประกาศไปก่อนหน้านี้
นายอิมาอิกล่าวว่า ในส่วนของตลาดรถยนต์ไทยปีนี้ คาดว่าจะเติบโตเพียงเล็กน้อย หากเทียบกับปี 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งมียอดขายประมาณ 3.3 แสนคัน แม้สถานการณ์ความผันผวนทางการเมืองของไทยจะดีขึ้น และน่าจะส่งผลดีต่อสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม แต่ปัจจัยเรื่องของราคาน้ำมันแพง และอัตราค่าครองชีพที่สูงขึ้น จะส่งผลให้ตลาดไม่สามารถเติบโตได้มากนัก
“มิตซูบิชิตั้งเป้าหมายการขายปีนี้ไว้ที่ประมาณ 26,900 คัน เทียบกับปีที่ผ่านมาเติบโตประมาณ 2% ซึ่งเป็นไปตามสภาพตลาด ขณะเดียวกันก็จะสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า รวมถึงการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ สู่ตลาด ตรงนี้จะทำให้มิตซูบิชิสามารถบรรลุเป้าหมายการขายได้”
ล่าสุดบริษัทฯ ได้แนะนำรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร่ ซึ่งเป็นรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีระดับพรีเมี่ยมสู่ตลาดไทย แม้จะเป็นตลาดรถเฉพาะกลุ่มปริมาณการขายไม่มาก 600-700 คันต่อปี แต่ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าจำนวนหนึ่งที่ต้องการ และการนำเข้าปาเจโร่ที่เป็นรถยนต์สมรรถนะยอดเยี่ยมของมิตซูบิชิ จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะแนะนำสู่ตลาดไทยในอนาคตของมิตซูบิชิ เช่นรถยนต์อเนกประสงค์ใหม่ที่ใช้พื้นฐานจากปิกอัพรุ่นไทรทัน ที่จะเปิดตัวช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
สำหรับมิตซูบิชิ ปาเจโร ที่นำเข้ามาจำหน่ายวางเครื่องยนต์ 3.8 ลิตร V6 SOHC 24 วาล์ว พร้อมระบบระวาล์วแปรผัน MIVEC เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ INVECS-II Sportronic ให้พละกำลังสูงสุด 250 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 33.6 กก.-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำเพียง 2,750 รอบต่อนาที ถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWC โดยมีราคาจำหน่าย 3,950,000 บาท