คล้อยหลังปีใหม่มาได้เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น ตลาดรถยนต์ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวระลอกแรกของปีกันแล้ว กับงาน NAIAS (North American International Auto Show) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ ซึ่งในปีนี้มีขึ้นระหว่างวันที่ 19-27 มกราคม แต่รอบสื่อมวลชนเริ่มขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 13-15 มกราคม
แน่นอนว่า สีสันและบรรยากาศของงานนี้เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งไฮไลต์เด่นประจำงาน คือ ของใหม่และของแปลกจากแบรนด์รถยนต์เจ้าถิ่น ซึ่งแม้ว่าบิ๊กทรีของอุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกันอย่างเจนเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม, ฟอร์ด และไครสเลอร์จะตกอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยสู้ดีนักในด้านผลประกอบการในช่วงปี 2007 ที่ผ่านมา แต่ทั้งหมดต่างก็นำรถยนต์ใหม่ทั้งต้นแบบและในสายการผลิตมาจัดแสดงกันเต็มพื้นที่ของโคโบ ฮอลล์ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจัดงานนี้....ส่วนใครจะมีอะไรบ้างลองมาดูกัน
เริ่มต้นกันที่พี่ใหญ่อย่างจีเอ็ม ซึ่งทั่วโลกกำลังลุ้นระทึกว่าจะกำลังสูญเสียความเป็นหมายเลข 1 ของตลาดรถยนต์โลกให้กับโตโยต้าหรือไม่ แบรนด์เด่นของจีเอ็มสำหรับงานนี้มักจะสลับสับเปลี่ยนและหมุนเวียนกันไป และในปีนี้ภาระหน้าที่ในการสร้างสีสันตกอยู่ที่แบรนด์หรูอย่างแคดิลแล็ก ซึ่งมีการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ถึง 3 รุ่น แบ่งเป็นต้นแบบ 2 รุ่นและรถยนต์ในสายการผลิต 1 รุ่นซึ่งเป็นการพัฒนาบนพื้นฐานของสายพันธุ์ซีทีเอส
คอมแพ็กต์ซีดานขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นนี้ถือเป็นอาวุธเด็ดของแคดดี้ในการต่อกรกับรถยนต์หรูรุ่นเล็กจากเยอรมนีทั้งออดี้ เอ4, เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส และบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์3 โดยในตอนนี้แคดิลแล็กเปิดตัวรหัสแรงที่มีชื่อว่าซีทีเอส-วีออกมาเสริมตลาด ด้วยการอัพเกรดสมรรถนะกับเครื่องยนต์วี8 6,200 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จ ที่มีกำลังถึง 550 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 75.9 กก.-ม. เพื่อแข่งกับเอ็ม3 และซี63เอเอ็มจี ส่วนอีกคันแม้ว่าจะมีคำว่าต้นแบบต่อท้ายชื่อโดยมากับตัวถังคูเป้ 2 ประตู แต่ใครๆ ก็รู้ว่า ซีทีเอส คูเป้จะมีขายในปีหน้าอย่างแน่นอน เพื่อเป็นอีกทางเลือกที่นอกเหนือจากซีดาน และเป็นครั้งแรกที่สายพันธุ์นี้มีตัวถัง 2 ประตูทำตลาด
อีกรุ่นที่เป็นต้นแบบของแคดิลแล็ก แม้จะไม่ใช่ของใหม่แกะกล่อง เพราะว่าถูกนำไปเปิดตัวก่อนหน้านี้ที่งาน CES หรือ Consumer Electronic Show ที่ลาสเวกัส แต่ก็ยังโดดเด่น ซึ่งโพรว็อค นอกจากจะมากับความสวยบนตัวถังเอสยูวี 5 ประตูขนาดคอมแพ็กต์แล้ว ยังไฮเทคด้วยเพราะใช้เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน ขณะที่ฮัมเมอร์มากับต้นแบบรุ่น HX ซึ่งเป็นผลงานของนักออกแบบรุ่นใหม่
สำหรับรถยนต์ใหม่ๆ จากแบรนด์ในเครือของจีเอ็มที่นำมาเปิดตัวในงานนี้ ส่วนใหญ่จะผ่านตากันมาก่อนที่งานนี้จะเริ่มขึ้น เพราะว่าทางจีเอ็มนำออกเผยโฉมผ่านทางเว็บไซต์ในอินเตอร์เนตมาก่อน เช่น ซาบ 9-4เอ็กซ์ ซึ่งเป็นเอสยูวีที่พัฒนาบนพื้นฐานของ 9-3 และใช้เครื่องยนต์ Biopower แบบเทอร์โบเป็นขุมพลัง และจะมีการผลิตขายจริงในอนาคต
ตามด้วยรหัสแรง ZR1 ของเชฟโรเลต คอร์เว็ตต์ ซึ่งในตอนนี้ครองตำแหน่งรถยนต์ที่พกม้าจากโรงงานมากที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตรถยนต์ของจีเอ็มโดยมีจำนวนทั้งสิ้น 620 แรงม้า และในปีแรกของการทำตลาดจะมีผลิตออกมาแค่ 150 คันเท่านั้น ส่วนแซทเทิร์นมากับการพัฒนาเอสยูวีรุ่น Vue ให้มีความไฮเทคในการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ซึ่งจะมีจำหน่ายด้วยกัน 2 รุ่น
เริ่มกับเวอร์ชันที่ 2 จะเริ่มขายปลายปีนี้ ด้วยเครื่องยนต์วี6 3,600 ซีซี แบบไดเร็กต์อินเจ๊กชันจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่แบบนิเกิล เมทัลไฮดราย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากกว่ารุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินเพียงอย่างเดียวถึง 50% และเวอร์ชันที่ 3 จะเริ่มขายปี 2009 ใช้พื้นฐานเดียวกันแต่เปลี่ยนมาเป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนซึ่งแบตเตอรี่ทั้ง 2 รุ่นสามารถเสียบปลักไฟบ้านเพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้า โดยใช้เวลาเพียง 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น แถมยังสามารถขับโดยใช้แต่กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวก็ได้ โดยจะทำระยะทางได้สูงสุด 10 ไมล์ หรือ 17 กิโลเมตร
ย้ายมาที่หมายเลข 2 อย่าง ฟอร์ด งานนี้ถ้านับเฉพาะแบรนด์ที่เป็นสัญชาติอเมริกันอย่างเดียว ก็พอมีอะไรใหม่ ๆ มาสร้างความเร้าใจได้เหมือนกัน แม้ว่าจะมีแค่แบรนด์ฟอร์ด และลินคอล์นเท่านั้น ส่วนเมอร์คิวรี่ก็เงียบเหงาตามเคย
ในกลุ่มของต้นแบบของฟอร์ดที่เปิดตัวมีทั้งอเมริกา เอ็กซ์โพลเรอร์ คอนเซ็ปต์ โดยจะได้รับการพัฒนาเพื่อให้เป็นโฉมใหม่ของเอ็กซ์โพลเรอร์ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2009 และจะเป็นครั้งแรกที่เอสยูวีรุ่นนี้หันมาใช้โครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก และที่น่าแปลกใจชวนสงสัยว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นในเมืองลุงแซม คือ การนำ เวิร์บ ซีดาน คอนเซ็ปต์มาอวดโฉมอีกครั้งหลังจากเปิดตัวครั้งแรกของโลกที่งานกวางเจา มอเตอร์โชว์ ปลายปี 2007
ถ้ายังจำกันได้ รถยนต์รุ่นนี้คือผลผลิตที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างฟอร์ด กับมาสด้า ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับมาสด้า 2 และจะมีทั้งตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู และซีดาน ที่สำคัญคือเป็นรถยนต์สายพันธุ์ใหม่ซึ่งจะมาแทนที่รุ่นเฟียสตา และมีขายทั่วโลก และถึงขนาดเอามาให้ดูกันขนาดนี้ ก็น่าจะมีขายในสหรัฐอเมริกาด้วย
ที่เซอร์ไพรส์และไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้ คือ โฉมใหม่ของปิกอัพยอดนิยมและเป็นรถที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2007 นั่นก็คือ F-150 เพิ่มความสวยและดุดันรอบคัน แถมยังอัพเกรดสเปกเพื่อเอาใจตลาด โดยเฉพาะในรุ่นไฮโซที่จะมีเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะให้เลือกใช้ รวมถึง 3 ทางเลือกของเครื่องบนพื้นฐานของบล็อกวี8 ทั้งรุ่น 4,600 ซีซี แบบ 2 และ 3 วาล์ว/สูบ และ 5,400 ซีซี แบบ3 วาล์ว/สูบ ที่ได้รับการพัฒนาให้เป็น Flex Fuel Vehicle สามารถใช้เชื้อเพลิงแบบ E85 ได้
อีกรุ่นที่เตรียมขึ้นไลน์ผลิต คือ มัสแตงที่มากับลูกเล่นใหม่แบบหลังคากระจก หรือ Glass Roof ซึ่งเป็นออพชั่นสำหรับลูกค้าที่ต้องการรับแสงแดดในขณะขับ โดยลูกค้าที่ต้องการหลังคารุ่นนี้จะต้องจ่ายเงินเพิ่มจากรุ่นคูเป้อีก 1,995 เหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบๆ 70,000 บาท
ปิดท้ายกับ ไครสเลอร์ ซึ่งแม้ว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวกับการเปลี่ยนแปลงมาในปีที่แล้วด้วยการแยกทางกับเดมเลอร์ และได้รับการบริหารงานโดยกลุ่มนายทุนใหม่ แต่ก็ยังมีของใหม่มาให้สัมผัสกันแบบครบครัน โดยเฉพาะต้นแบบ 3 ใบเถาที่มีการนำเสนอภาพร่างให้เห็นกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
ทั้ง 3 รุ่นที่ว่า คือ ดอดจ์ ZEO ในแบบสปอร์ตประตูเปิดแบบปีกนกที่มีขนาดตัวถัง 4390 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2792 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้พลังจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน และแล่นทำระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 402 กิโลเมตร
ตามด้วยจี๊ปกับแนวคิดล้ำสมัยในการปรับปรุงเอสยูวีของตัวเองให้มีความสวยและปราดเปรียวรับกับยุคสมัย ซึ่งเรเนเกรด คอนเซ็ปต์มากับตัวถังที่กะทัดรัดในระดับความยาวไม่เกิน 4 เมตร และล้ำสมัยแบบสุดๆ ด้วยเครื่องยนต์แบบ Hybrid Plug-in ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแบบ Bluetec รับหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ซึ่งเป็นแหล่งขุมพลังหลักในการส่งกระแสไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับใช้ในการขับเคลื่อน
ส่งท้ายด้วยมินิแวนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในชื่อ ecoVoyager ขับเคลื่อนด้วยระบบเซลล์เชื้อเพลิงซึ่งใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง และสามารถแล่นทำระยะทางได้ถึง 482 กิโลเมตรต่อเชื้อเพลิง 1 ถัง แถมยังไม่มีการปลดปล่อยมลพิษออกมาในขณะใช้งานด้วย เพราะอย่างที่ทราบกันดี่สิ่งที่ออกมาจากปลายท่อไอเสียของรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงนั่น มีแค่ ‘น้ำ’ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการทางเคมีเท่านั้นเอง
