ข่าวในประเทศ – ยักษ์ “โตโยต้า” ยังไม่ปลื้ม 3 แชมป์ตลาดรถไทย เผยต่างจังหวัดยังมีจุดอ่อน เตรียมเดินหน้าไล่บี้คู่แข่งหวังฟันยอดขายอันดับหนึ่ง ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่ทำได้มากกว่า 50% โดยเร่งสู่เป้าหมายด้วยการพัฒนาดีลเลอร์ ให้สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าทุกแห่ง พร้อมประกาศเดินหน้าผลิตรถยนต์รองรับพลังงานทางเลือกทุกประเภท และย้ำนโยบายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดันโรงงานบ้านโพธิ์เป็น 1 ใน 5 โครงการ “ป่านิเวศโรงงาน”
นายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมานับเป็นปีแห่งความสำเร็จอีกปีหนึ่งของโตโยต้า โดยสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 44.7% ด้วยยอดขายรถยนต์รวม 282,088 คัน ซึ่งหดตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่สามารถครองอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์รวม ตลาดรถยนต์นั่ง ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์
“ในปีนี้โตโยต้ายังคาดหวังว่าจะเป็นอันดับหนึ่งในทุกตลาดเช่นเดิม แต่หากดูในรายละเอียดตลาดรถยนต์ ที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ตลาดกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งในส่วนของตลาดจังหวัด โตโยต้ายังไม่สามารถครอบครองอันดับ 1 ได้ครอบคลุมทุกจังหวัด ปัจจุบันทำได้เพียงมากกว่า 50% ขึ้นไปเท่านั้น ในอนาคตโตโยต้าจึงมุ่งหวังที่จะเป็นอันดับหนึ่งครอบคลุมทุกจังหวัดให้ได้”
ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โตโยต้าได้มีการพัฒนาตัวแทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อให้บริการและสร้างความพึงพอใจสูงสุดกับลูกค้าในทุกดีลเลอร์ของโตโยต้า และคาดว่าปีนี้โตโยต้าจะมียอดจำหน่าย 3.1 แสนคัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 1.11 แสนคัน และรถเพื่อการพาณิชย์ 1.99 แสนคัน หรือเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 9.9%
“จากยอดขายดังกล่าวจะทำให้โตโยต้าครองส่วนแบ่งทางการตลาด 44% จากภาพรวมของตลาดรถยนต์ปีนี้ประมาณ 7 แสนคัน ซึ่งเป็นอัตราที่เทียบเท่ากับปี 2548 เพราะจากทิศทางของตลาดรถยนต์ที่ค่อยกลับมาฟื้นตัว ตั้งแต่ไตรมาสสามของปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าปีนี้จะยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดตัวรถใหม่หลายยี่ห้อ รวมทั้งโตโยต้า โคโรลล่า อัลติส โฉมใหม่เร็วๆ นี้ ประกอบกับเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และรัฐบาลประกาศว่าจะจีดีพีปีนี้จะเติบโต 5% ซึ่งหากรัฐบาลใหม่เดินหน้าผลักดันสิ่งเหล่านี้ต่อเนื่อง จะทำให้ปัจจัยลบต่างๆ กระทบลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันแพง และสภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกตกลง จนส่งผลต่อสภาวะเศษฐกิจ”
นายโซโนดะกล่าวว่า ส่วนการพัฒนาผลิตภัณฑ์โตโยต้า ยังจะคงนำเสนอสินค้าออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้พลังงานทางเลือกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเดือนกุมภาพันธ์นี้จะมีการเปิดตัว โตโยต้า โคโรล่า อัลติส โฉมใหม่ ซึ่งสามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ และจากนั้นอีกหนึ่งเดือนรถยนต์โตโยต้าเครื่องยนต์เบนซินทุกรุ่น จะสามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้เช่นกัน
ในส่วนของปิกอัพที่น้ำมันดีเซล สามารถใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล 2% หรือน้ำมันไบโอดีเซล B2 ได้ เพื่อตอบสนองรัฐบาลที่กำหนดตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป น้ำมันดีเซลที่จำหน่ายในไทย จะต้องมีส่วนผสมของไบโอดีเซล 2% ส่วนน้ำมันไบโอดีเซล B5 ขณะนี้กำลังทดลองอยู่ และโตโยต้าประเทศไทยยังได้ร่วมมือกับบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ในโครงการศึกษาและวิจัยพลังงานทางเลือกไบโอดีเซลจากเมล็ดสบู่ดำด้วย
ด้านพลังงานก๊าซธรรมชาตื หรือซีเอ็นจี (CNG) เป็นอีกโครงการที่โตโยต้ากำลังจะแนะนำสู่ตลาดในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งปัจจุบันได้มีการศึกษาและค้นคว้า เพื่อให้รถยนต์สามารถใช้ก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้พลังงานไฮบริดที่ปัจจุบันโตโยต้าได้มีการนำรถยนต์รุ่นพรีอุสมาศึกษาจำนวน 16 คัน และไม่เพียงเท่านี้โตโยต้าได้สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้ยื่นขอสนับสนุนการลงทุนโครงการผลิตรถอีโคคาร์ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติส่งเสริมการลงทุนอยู่
นายโซโนดะกล่าวว่า โตโยต้ายังมีความมุ่งมั่นต่อเนื่องที่จะเสริมสร้างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ “ป่านิเวศในโรงงาน” (Eco-Forest) ตามบัญญัติโลกทัศน์แห่งโตโยต้า (Toyota Global Vision 2020) เพื่อให้โรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ เป็น 1 ใน 5 ของโตโยต้าทั่วโลก สำหรับการเป็นโรงงานแห่งความยั่งยืน (Sustainable Plant) ด้วยการปลูกต้นไม้ในบริเวณโรงงานบนพื้นที่ 30 ไหร่ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างระบบนิเวศน์ให้สมบูรณ์อันจะเป็นประโยชน์แก่พนักงานโตโยต้า ให้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี รวมถึงชุมชนรอบข้างด้วย โดยโครงการขั้นแรกจะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นปัญหาการเกิดโลกร้อน จำนวน 60 ตันต่อปี
นอกจากนี้โตโยต้ามีการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “โตโยต้า.....เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”ผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการลดเมืองร้อนด้วยมือเรา ให้การสนับสนุนศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) การปลูกป่าทดแทน ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน การดำเนินงานและการบริหารจัดการอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธรให้เป็นศูนย์ศึกษาสมบูรณ์แบบ
นายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมานับเป็นปีแห่งความสำเร็จอีกปีหนึ่งของโตโยต้า โดยสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 44.7% ด้วยยอดขายรถยนต์รวม 282,088 คัน ซึ่งหดตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่สามารถครองอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์รวม ตลาดรถยนต์นั่ง ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์
“ในปีนี้โตโยต้ายังคาดหวังว่าจะเป็นอันดับหนึ่งในทุกตลาดเช่นเดิม แต่หากดูในรายละเอียดตลาดรถยนต์ ที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ตลาดกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งในส่วนของตลาดจังหวัด โตโยต้ายังไม่สามารถครอบครองอันดับ 1 ได้ครอบคลุมทุกจังหวัด ปัจจุบันทำได้เพียงมากกว่า 50% ขึ้นไปเท่านั้น ในอนาคตโตโยต้าจึงมุ่งหวังที่จะเป็นอันดับหนึ่งครอบคลุมทุกจังหวัดให้ได้”
ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โตโยต้าได้มีการพัฒนาตัวแทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อให้บริการและสร้างความพึงพอใจสูงสุดกับลูกค้าในทุกดีลเลอร์ของโตโยต้า และคาดว่าปีนี้โตโยต้าจะมียอดจำหน่าย 3.1 แสนคัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 1.11 แสนคัน และรถเพื่อการพาณิชย์ 1.99 แสนคัน หรือเทียบกับปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 9.9%
“จากยอดขายดังกล่าวจะทำให้โตโยต้าครองส่วนแบ่งทางการตลาด 44% จากภาพรวมของตลาดรถยนต์ปีนี้ประมาณ 7 แสนคัน ซึ่งเป็นอัตราที่เทียบเท่ากับปี 2548 เพราะจากทิศทางของตลาดรถยนต์ที่ค่อยกลับมาฟื้นตัว ตั้งแต่ไตรมาสสามของปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าปีนี้จะยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดตัวรถใหม่หลายยี่ห้อ รวมทั้งโตโยต้า โคโรลล่า อัลติส โฉมใหม่เร็วๆ นี้ ประกอบกับเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และรัฐบาลประกาศว่าจะจีดีพีปีนี้จะเติบโต 5% ซึ่งหากรัฐบาลใหม่เดินหน้าผลักดันสิ่งเหล่านี้ต่อเนื่อง จะทำให้ปัจจัยลบต่างๆ กระทบลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันแพง และสภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกตกลง จนส่งผลต่อสภาวะเศษฐกิจ”
นายโซโนดะกล่าวว่า ส่วนการพัฒนาผลิตภัณฑ์โตโยต้า ยังจะคงนำเสนอสินค้าออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้พลังงานทางเลือกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเดือนกุมภาพันธ์นี้จะมีการเปิดตัว โตโยต้า โคโรล่า อัลติส โฉมใหม่ ซึ่งสามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้ และจากนั้นอีกหนึ่งเดือนรถยนต์โตโยต้าเครื่องยนต์เบนซินทุกรุ่น จะสามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้เช่นกัน
ในส่วนของปิกอัพที่น้ำมันดีเซล สามารถใช้น้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของไบโอดีเซล 2% หรือน้ำมันไบโอดีเซล B2 ได้ เพื่อตอบสนองรัฐบาลที่กำหนดตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป น้ำมันดีเซลที่จำหน่ายในไทย จะต้องมีส่วนผสมของไบโอดีเซล 2% ส่วนน้ำมันไบโอดีเซล B5 ขณะนี้กำลังทดลองอยู่ และโตโยต้าประเทศไทยยังได้ร่วมมือกับบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ในโครงการศึกษาและวิจัยพลังงานทางเลือกไบโอดีเซลจากเมล็ดสบู่ดำด้วย
ด้านพลังงานก๊าซธรรมชาตื หรือซีเอ็นจี (CNG) เป็นอีกโครงการที่โตโยต้ากำลังจะแนะนำสู่ตลาดในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งปัจจุบันได้มีการศึกษาและค้นคว้า เพื่อให้รถยนต์สามารถใช้ก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้พลังงานไฮบริดที่ปัจจุบันโตโยต้าได้มีการนำรถยนต์รุ่นพรีอุสมาศึกษาจำนวน 16 คัน และไม่เพียงเท่านี้โตโยต้าได้สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้ยื่นขอสนับสนุนการลงทุนโครงการผลิตรถอีโคคาร์ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติส่งเสริมการลงทุนอยู่
นายโซโนดะกล่าวว่า โตโยต้ายังมีความมุ่งมั่นต่อเนื่องที่จะเสริมสร้างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ “ป่านิเวศในโรงงาน” (Eco-Forest) ตามบัญญัติโลกทัศน์แห่งโตโยต้า (Toyota Global Vision 2020) เพื่อให้โรงงานโตโยต้า บ้านโพธิ์ เป็น 1 ใน 5 ของโตโยต้าทั่วโลก สำหรับการเป็นโรงงานแห่งความยั่งยืน (Sustainable Plant) ด้วยการปลูกต้นไม้ในบริเวณโรงงานบนพื้นที่ 30 ไหร่ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างระบบนิเวศน์ให้สมบูรณ์อันจะเป็นประโยชน์แก่พนักงานโตโยต้า ให้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ดี รวมถึงชุมชนรอบข้างด้วย โดยโครงการขั้นแรกจะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นปัญหาการเกิดโลกร้อน จำนวน 60 ตันต่อปี
นอกจากนี้โตโยต้ามีการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ “โตโยต้า.....เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”ผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการลดเมืองร้อนด้วยมือเรา ให้การสนับสนุนศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) การปลูกป่าทดแทน ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน การดำเนินงานและการบริหารจัดการอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธรให้เป็นศูนย์ศึกษาสมบูรณ์แบบ
