ภาวะโลกร้อน (Global Warming) เริ่มขยับใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกวัน จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรวดเร็ว ภัยธรรมชาติที่นับวันจะทวีความรุนแรงกะทันหัน ส่งผลให้ผู้คนหันมาใส่ใจดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีโลก และสภาวะแวดล้อมที่เริ่มไม่เป็นมิตร
บริษัทรถยนต์นับเป็นหนึ่งตัวการสำคัญในการเพิ่มมลพิษสู่โลก ทั้งกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล หรือเมื่อออกมาเป็นรถยนต์พร้อมใช้หนึ่งคัน ก็ต้องสูบกินน้ำมันเพื่อขับเคลื่อน ขณะที่กระบวนการสันดาปภายในของเครื่องยนต์ยังปล่อยก๊าซเสียออกมามากมาย ดังนั้นภาพลักษณ์ด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตระหนักถึงทรัพยากรธรรมชาติ จึงเป็นสิ่งที่ค่ายรถยนต์ต้องทำควบคู่นอกเหนือไปจากตั้งหน้าตั้งตาขายสุดยอดยนตรกรรมเพียงอย่างเดียว
สองค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ โตโยต้า-ฮอนด้า ที่ดำเนินธุรกิจในไทยมานาน ได้กำหนดวิสัยทัศน์ และวิถีปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไว้ชัดเจนในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ตัวโปรดักส์ ขั้นตอนการผลิต จัดซื้อชิ้นส่วน การขนส่ง เครือข่ายธุรกิจ ไปจนถึงการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม และอาจควบรวมไปถึงภาพใหญ่อย่าง“กรีน มาร์เก็ตติ้ง” (Green marketing) หรือ“การตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม”ที่กำลังฮอตฮิตในปัจจุบัน
“โตโยต้า”ชูบ้านโพธิ์โรงงานสีเขียว
“การที่หลายค่ายรถยนต์นำกลยุทธ์แบบกรีน มาร์เก็ตติ้ง มาใช้ ถือเป็นสิ่งดีที่แสดงถึงความตั้งใจของทุกคนในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะผลสุดท้ายของการแข่งขัน ผู้ที่ได้ประโยชน์คือสังคมของเรา แต่ในส่วนของโตโยต้าคงไม่เรียกการผลิตรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อมว่าเป็นการทำกลยุทธ์ทางการตลาด แต่เราถือเป็นนโยบายหลักที่มุ่งมั่นดำเนินงานมานานหลายปีแล้ว” ศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวและว่า
โตโยต้ามีการดำเนินงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ คือ เริ่มจากการวางแผนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการจัดการพลังงาน การบำบัดน้ำ การจัดการขยะและของเสีย รวมถึงการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริด(รถยนต์ลูกผสมระหว่างไฟฟ้า กับ น้ำมัน) ที่ได้การยอมรับจากทั่วโลก หรือแม้แต่การปลูกฝังจิตสำนึกของบุคลากรทุกคนให้ตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้ โตโยต้ามุ่งหวังและวางเป้าหมายเพื่อจะเติบโตคู่กับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ดังโลกทัศน์แห่งโตโยต้า (Toyota Global Vision 2020) ที่ถูกบัญญัติขึ้น และเป็นแนวทางให้โตโยต้าทั่วโลกยึดถือปฏิบัติ
ด้านโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมนั้น โตโยต้าจัดอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการลดเมืองร้อน ด้วยมือเรา (Stop Global Warming) การจัดสัมมนาเชิงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคต่าง ๆ การปลูกป่าทดแทน ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนยฯ ล่าสุดยังเปิดตัวโครงการ“ป่านิเวศในโรงงาน” (Eco – Forest) ซึ่งนับเป็นโครงการใหม่ที่ โรงงานผลิตรถยนต์บ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยขั้นแรกจะทำการปลูกต้นไม้ในบริเวณโรงงานบนพื้นที่ 30 ไร่ เพื่อสร้างระบบนิเวศให้สมบูรณ์ ทั้งยังช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 60 ตันต่อปี ซึ่งจะเอื้อประโยชน์แก่พนักงานโตโยต้า รวมถึงชุมชนรอบข้างอีกด้วย
สำหรับโรงงานบ้านโพธิ์ ยังใช้เทคโนโลยีล่าสุดเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการใช้พลังงานสะอาดจากธรรมชาติ การรีไซเคิลน้ำที่ใช้ในการผลิต การใช้น้ำเป็นตัวทำละลายสีที่ใช้พ่นรถยนต์แทนทินเนอร์ การจัดการขยะอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้โรงงานบ้านโพธิ์ยังได้รับเลือกให้เป็นต้นแบบโรงงานแห่งความยั่งยืน (Sustainable Plant) 1 ใน 5 แห่ง ของโตโยต้าทั่วโลกร่วมกับ โรงงานซึซึมิ ประเทศญี่ปุ่น โรงงานมิสซิปซิปปี สหรัฐอเมริกา โรงงานที่อังกฤษ และโรงงานในฝรั่งเศส
“ส่วนการดำเนินงานในอนาคตนั้น เรายังมุ่งเน้นผลิตรถยนต์ภายใต้ปรัชญาเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly Product) ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (กินน้ำมันน้อย,ให้พลังงานขับเคลื่อนสูง) พร้อมดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายพลังงานทางเลือกของรัฐบาล โดยจะพัฒนาเครื่องยนต์และระบบเชื้อเพลิงให้ใช้ได้ดีกับ น้ำมันแก็สโซฮอล์,ไบโอ-ดีเซล และก๊าซซีเอ็นจี” นายศุภรัตน์ กล่าวสรุป
ฮอนด้ารักษ์โลกเอื้อสังคม
ค่ายรถยนต์เบอร์สามของประเทศ “ฮอนด้า” โดย อดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยพันธกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมว่า ฮอนด้าจะไม่สร้างผลกระทบ หรือพยายามทำให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยพันธะสัญญาเพื่อสิ่งแวดล้อมของฮอนด้านั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการปรับปรุงสมรรถนะของผลิตภัณฑ์ แต่ยังรวมไปถึงการนำเอาวัตถุดิบต่างๆ ที่เหลือใช้จากกระบวนการผลิตนำกลับมาใช้ใหม่ ตลอดจนมุ่งอนุรักษ์ทรัพยากรและพลังงานในทุกขั้นตอน ครอบคลุมวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การค้นคว้า ออกแบบ การผลิต และการขาย รวมไปถึงการบริการและการกำจัดทำลาย
“ความเจริญด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ผลผลิตที่เกิดจากมันสมองของมนุษย์ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างที่เราไม่ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางอากาศ มลพิษทางเสียง ก่อให้เกิดขยะ หรือขยะทางอุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม”
สำหรับโครงการด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ฮอนด้าพยายามเน้นกิจกรรมที่เหมาะสม ให้ประโยชน์สูงสุดกับคนในพื้นที่ และชุมชนนั้นๆ อาทิ โครงการโรงเรียนสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมดีเด่นเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยมีเป้าหมายให้ผู้ร่วมดำเนินโครงการฯ ทั้งโรงเรียน ชุมชน องค์กรท้องถิ่น เกิดความสำนึกรักสิ่งแวดล้อม เข้าใจและร่วมกันแก้ไขปัญหาวิกฤติด้าน ขยะ น้ำเสีย และพลังงาน ตามแนวพระราชดำริให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ยังมีโครงการฮอนด้าประหยัดเชื้อเพลิง หรือ Econo Runs ที่เริ่มต้นตั้งแต่ พ.ศ. 2541 ด้วยแนวคิดที่ต้องการให้เยาวชนในสถาบันอาชีวะศึกษาและอุดมศึกษา ได้ใช้ความรู้ ความสามารถด้านวิศวกรรมยานยนต์ คิดค้นพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงสูงสุดแต่มีพลังขับเคลื่อนไปได้ไกลที่สุด และจนถึงปัจจุบันก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 ปี รวมจำนวนทีมเข้าร่วมทั้งสิ้น 3,928 ทีม มูลค่าการสนับสนุนกว่า 40 ล้านบาท
“ในส่วนของยนตรกรรม ฮอนด้าได้ศึกษาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในพ.ศ. 2545 ฮอนด้าถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ได้แนะนำรถยนต์พลังไฟฟ้าระบบเซลล์เชื้อเพลิง Honda FCX (Fuel Cell) ยานยนต์ที่สะอาดไร้มลพิษและปลอด CO2 ออกสู่ตลาดเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มสู่ยุคใหม่ของพลังงานสะอาด เพราะผลลัพท์ที่ FCX ปล่อยออกมาคือน้ำบริสุทธิ์ (H2O) และเป็นเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มจะนำมาใช้ในอนาคต”อดิศักดิ์ กล่าวปิดท้าย
ทั้งหมดเป็นพันธกิจ พร้อมคำมั่นสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมของสองค่ายรถยนต์ที่วางหลักปักฐานในไทย และคาดว่าจะอยู่คู่แผ่นดินสยามไปอีกนาน และแม้การแข่งขันในตลาดรถยนต์จะดุเดือดกับการแย่งชิงยอดขาย-ส่วนแบ่งตลาด แต่นั้นก็เป็นวิถีของการดำเนินธุรกิจ เพราะที่สุดแล้วการสร้างแบรนด์เสริมภาพลักษณ์ พร้อมแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมถือเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงจะกลายมาเป็นดัชนีชี้วัดคุณค่าของผลิตภัณฑ์และบริษัทนั้นๆไปในตัว