แม้ว่ามัสแตงจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เปิดตลาดรถสปอร์ตกลุ่มใหม่ที่กลายมาเป็นปรากฏการณ์ในสหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 แต่แท้จริงแล้ว มัสแตงไม่ใช่สปอร์ตที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรุ่นแรกของตลาด Pony Car

ถ้าจะนับวันเปิดตัวเป็นหลักแล้ว พลีมัธ บาร์ราคูด้าของค่ายไครสเลอร์ต่างหากที่เป็น Pony Car รุ่นแรก เพราะเปิดตัวขายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 1 เมษายน 1964 ก่อนหน้ามัสแตงของฟอร์ดมากกว่า 2 สัปดาห์ แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้ตลาดกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกตั้งชื่อว่าFish Car (ตามชื่อบาร์ราคูด้า) แต่กลับเป็น Pony Car (ตามชื่อมัสแตง)
อย่างแรกคือ ความชัดเจนของตัวรถ เพราะว่าบาร์ราคูด้าเป็นแค่โปรเจ็กต์เสริมตลาด เพราะผู้บริหารของไครสเลอร์ต้องการผลิตรถสปอร์ตราคาประหยัดออกมาขายเสริมตลาดกับรุ่นระดับหรูอย่างไวเลียนท์ (Vailiant)
อย่างที่สองคือ นิยามของตัวรถไม่ชัดเจนและโดดเด่นเหมือนกับมัสแตง ตามด้วยยอดขายไม่อู่ฟู่จนเป็นปรากฏการณ์ใหม่ และสุดท้ายอย่างที่กล่าวข้างต้นคือ ตัวรถเป็นชื่อปลา ที่ยังไงๆ ก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับความเป็น ‘รถ’ เหมือนกับม้า ถึงจะเป็นแค่ลูกม้าก็ตาม

Pony Car ถือเป็นกลุ่มตลาดที่สร้างโดยฟอร์ด และผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จคือ ลี ไออาค็อค่า ผู้บริหารของฟอร์ด ที่มองตลาดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง โดยเฉพาะการมองเห็นพฤติกรรมของลูกค้าที่มีอายุไม่มาก ซึ่งเริ่มมองหารถยนต์ที่ขับแล้วดูหนุ่มกว่าการขับรถยนต์ 4 ประตู
ดังนั้น แนวคิดในการผลิตรถสปอร์ตขนาดกะทัดรัดในราคาที่เป็นเจ้าของได้ จึงเกิดขึ้น และเป็นที่มาของการเปิดตัวมัสแตงรุ่นแรกในวันที่ 17 เมษายน 1964 และกวาดยอดขายถึง 100,000 คันในช่วงปีแรกของการทำตลาด

มัสแตงถูกยกให้เป็นบรรทัดฐานและนิยามของ Pony Car ไปโดยปริยาย ซึ่ง Pony Car คือ ทางเลือกของสปอร์ตรุ่นเล็กราคาประหยัดที่รองรับความต้องการของลูกค้าที่ไม่ต้องการขับพวก Muscle Car หรือสปอร์ตรุ่นใหญ่ๆ มาเยอะๆ และมีคำจำกัดความอยู่ที่ ต้องมีรูปทรงสวยสะดุดตาและเร้าอารมณ์ มีราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย มีทางเลือกของออพชั่นที่หลากหลาย ซึ่งก็รวมถึงเครื่องยนต์ที่ไม่จำกัดว่าจะเป็นแบบ 6 สูบ หรือวี8 และเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนหนุ่มหรือพวกนักศึกษา
ต่อจากพลีมัธและฟอร์ด คราวนี้แบรนด์ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มทยอยเปิดตัว Pony Car ของตัวเองออกมา ทั้งปอนเตี๊ยก ไฟร์เบิร์ด ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับคามาโร, เมอร์คิวรี่ คูการ์ ที่เปิดตัวในปี 1967 ตามด้วยเอเอ็มซี เจฟเวลินในปี 1968 และดอดจ์ แชลเลนเจอร์ในปี 1970 ซึ่งทำให้ตลาดกลุ่มนี้ถือเป็นปรากฏการณ์สำหรับตลาดอเมริกันอย่างแท้จริง

ก่อนที่ตลาดจะเริ่มถดถอย เพราะรสนิยมของลูกค้าเริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยเริ่มเมินหน้าหนี Pony Car แล้วหันไปหารถสปอร์ตที่มีขนาดเล็กลงไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ในบ้านตัวเอง หรือแบรนด์ต่างแดน หรือไม่ก็หันไปคนกับรถสปอร์ตรุ่นใหญ่ หรือรถยนต์ระดับหรูไปเลย จนกระทั่งชื่อเหล่านี้เริ่มล้มหายตาจาก และเหลือเพียงมัสแตงเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นที่อยู่ในตลาด
ขณะที่คามาโร แม้ว่าจะเป็น Pony Car แต่ในรุ่นหลังๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดให้เป็นสปอร์ตรุ่นใหญ่ ก่อนที่จีเอ็มจะเลิกผลิตรถสปอร์ตรุ่นนี้ในปี 2002
อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวล่าสุดในปี2008 บรรดาค่ายรถมะกันต่างเตรียมปัดฝุ่น พร้อมนำPony Car หวนคืนตลาด(อย่างจริงจัง)อีกครั้ง
ติดตามตอนหน้า...Pony Car รถลูกม้ากำลังจะกลับมา
ถ้าจะนับวันเปิดตัวเป็นหลักแล้ว พลีมัธ บาร์ราคูด้าของค่ายไครสเลอร์ต่างหากที่เป็น Pony Car รุ่นแรก เพราะเปิดตัวขายในสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 1 เมษายน 1964 ก่อนหน้ามัสแตงของฟอร์ดมากกว่า 2 สัปดาห์ แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้ตลาดกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกตั้งชื่อว่าFish Car (ตามชื่อบาร์ราคูด้า) แต่กลับเป็น Pony Car (ตามชื่อมัสแตง)
อย่างแรกคือ ความชัดเจนของตัวรถ เพราะว่าบาร์ราคูด้าเป็นแค่โปรเจ็กต์เสริมตลาด เพราะผู้บริหารของไครสเลอร์ต้องการผลิตรถสปอร์ตราคาประหยัดออกมาขายเสริมตลาดกับรุ่นระดับหรูอย่างไวเลียนท์ (Vailiant)
อย่างที่สองคือ นิยามของตัวรถไม่ชัดเจนและโดดเด่นเหมือนกับมัสแตง ตามด้วยยอดขายไม่อู่ฟู่จนเป็นปรากฏการณ์ใหม่ และสุดท้ายอย่างที่กล่าวข้างต้นคือ ตัวรถเป็นชื่อปลา ที่ยังไงๆ ก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับความเป็น ‘รถ’ เหมือนกับม้า ถึงจะเป็นแค่ลูกม้าก็ตาม
Pony Car ถือเป็นกลุ่มตลาดที่สร้างโดยฟอร์ด และผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จคือ ลี ไออาค็อค่า ผู้บริหารของฟอร์ด ที่มองตลาดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง โดยเฉพาะการมองเห็นพฤติกรรมของลูกค้าที่มีอายุไม่มาก ซึ่งเริ่มมองหารถยนต์ที่ขับแล้วดูหนุ่มกว่าการขับรถยนต์ 4 ประตู
ดังนั้น แนวคิดในการผลิตรถสปอร์ตขนาดกะทัดรัดในราคาที่เป็นเจ้าของได้ จึงเกิดขึ้น และเป็นที่มาของการเปิดตัวมัสแตงรุ่นแรกในวันที่ 17 เมษายน 1964 และกวาดยอดขายถึง 100,000 คันในช่วงปีแรกของการทำตลาด
มัสแตงถูกยกให้เป็นบรรทัดฐานและนิยามของ Pony Car ไปโดยปริยาย ซึ่ง Pony Car คือ ทางเลือกของสปอร์ตรุ่นเล็กราคาประหยัดที่รองรับความต้องการของลูกค้าที่ไม่ต้องการขับพวก Muscle Car หรือสปอร์ตรุ่นใหญ่ๆ มาเยอะๆ และมีคำจำกัดความอยู่ที่ ต้องมีรูปทรงสวยสะดุดตาและเร้าอารมณ์ มีราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย มีทางเลือกของออพชั่นที่หลากหลาย ซึ่งก็รวมถึงเครื่องยนต์ที่ไม่จำกัดว่าจะเป็นแบบ 6 สูบ หรือวี8 และเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนหนุ่มหรือพวกนักศึกษา
ต่อจากพลีมัธและฟอร์ด คราวนี้แบรนด์ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มทยอยเปิดตัว Pony Car ของตัวเองออกมา ทั้งปอนเตี๊ยก ไฟร์เบิร์ด ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับคามาโร, เมอร์คิวรี่ คูการ์ ที่เปิดตัวในปี 1967 ตามด้วยเอเอ็มซี เจฟเวลินในปี 1968 และดอดจ์ แชลเลนเจอร์ในปี 1970 ซึ่งทำให้ตลาดกลุ่มนี้ถือเป็นปรากฏการณ์สำหรับตลาดอเมริกันอย่างแท้จริง
ก่อนที่ตลาดจะเริ่มถดถอย เพราะรสนิยมของลูกค้าเริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยเริ่มเมินหน้าหนี Pony Car แล้วหันไปหารถสปอร์ตที่มีขนาดเล็กลงไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ในบ้านตัวเอง หรือแบรนด์ต่างแดน หรือไม่ก็หันไปคนกับรถสปอร์ตรุ่นใหญ่ หรือรถยนต์ระดับหรูไปเลย จนกระทั่งชื่อเหล่านี้เริ่มล้มหายตาจาก และเหลือเพียงมัสแตงเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นที่อยู่ในตลาด
ขณะที่คามาโร แม้ว่าจะเป็น Pony Car แต่ในรุ่นหลังๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดให้เป็นสปอร์ตรุ่นใหญ่ ก่อนที่จีเอ็มจะเลิกผลิตรถสปอร์ตรุ่นนี้ในปี 2002
อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวล่าสุดในปี2008 บรรดาค่ายรถมะกันต่างเตรียมปัดฝุ่น พร้อมนำPony Car หวนคืนตลาด(อย่างจริงจัง)อีกครั้ง
ติดตามตอนหน้า...Pony Car รถลูกม้ากำลังจะกลับมา