xs
xsm
sm
md
lg

Pony Car รถลูกม้ากำลังจะกลับมา(2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แชลเลนเจอร์ใหม่ที่ดอดจ์นำออกเปิดเผยยั่วน้ำลาย และกวาดยอดจองไปกว่า 6 พันคัน
อย่าเพิ่งทำหน้างง เพราะถ้าแปลกันตรงๆ แบบตรงตัวทุกพยางค์สไตล์ซับไทยนรกตามสำนวนคนเล่น DVD แล้ว Pony Car มันก็คือ "รถลูกม้า" อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ถ้าว่ากันด้วยความหมายตามประวัติศาสตร์ยานยนต์แล้ว รถลูกม้าก็คือรถสปอร์ตขนาดเล็กราคาประหยัด ซึ่งเคยบูมอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 ในตลาดสหรัฐอเมริกา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นให้หันมาผลิตรถสปอร์ตระดับนี้ทำตลาดในบ้านตัวเอง (ว่ากันว่าโตโยต้า เซลิก้าคือ Pony Car รุ่นแรกของแบรนด์แดนปลาดิบ)
แม้จะมีแค่โบรชัวร์ แต่แชลเลนเจอร์ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
แต่เมื่อเข้าสู่ยุควิกฤตน้ำมัน แล้วกลุ่มลูกค้าเดิมหันไปหารถเก๋ง หรือไม่ก็สปอร์ตระดับหรู ทำให้ Pony Car ล้มหายตายจากกันไปเป็นแถว และเหลือเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่รอดจนถึงปัจจุบันคือ ฟอร์ด มัสแตง ซึ่งสปอร์ตรุ่นนี้ก็คือ ผู้บัญญัตินิยามของ Pony Car นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ปี 2006 Pony Car กลับมาเป็นหัวข้อสนทนากันอีก ไม่ใช่เพราะว่าฟอร์ดเลิกผลิตมัสแตง แต่ทว่าคู่แข่งอย่างจีเอ็ม และไครสเลอร์ต่างก็สนใจที่จะกลับเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ในตลาดประเภทนี้อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวต้นแบบออกมาค่ายละรุ่น และทั้ง 2 รุ่นมีคิวเริ่มขายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในปี 2008 นี้เอง ดังนั้นในช่วงปลายปีกระแส Pony Car จึงกลับมาสู่ความสนใจอีกครั้ง

เรื่องจะดังขนาดไหน ดูหลักฐานจากค่ายดอดจ์ของไครสเลอร์ที่จะรับหน้าที่เจาะตลาด Pony Car ดูก็ได้ เพราะแชลเลนเจอร์คันจริงยังไม่เปิดตัวให้เห็นเลย แค่แย้มบางส่วนออกมายั่วน้ำลาย พร้อมกับแจกรายละเอียดจากแผ่นพับอีกเล็กน้อย ก็กวาดยอดจองไปแล้วถึง 6,600 คันเลยทีเดียว และใช้เวลาแค่ 3 วันเท่านั้นเอง แถมราคาก็ไม่ได้ถูก เพราะซัดเข้าไปถึง 37,995 เหรียญสหรัฐ หรือเกือบๆ 1.3 ล้านบาท

น่าจะเรียกว่าเป็นข่าวดีสำหรับดอดจ์ หลังจากที่ข่าวมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้คอนเฟิร์มว่า ดอดจ์
กำลังจะเสียบัลลังก์ในตลาดมินิแวนในอเมริกาเหนือให้กับฮอนด้า

จากรายละเอียดและข้อมูลที่มีการเปิดเผยตามเว็บไซต์ในตอนนี้ แชลเลนเจอร์ใหม่จะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่มีความแตกต่างจากต้นแบบเล็กน้อยเท่านั้น โดยในเรื่องของโครงตัวถังหลักไม่เปลี่ยนแปลงเป็นแบบสปอร์ต 2 ประตู 4 ที่นั่ง แต่ด้านหน้าและด้านหลังมีการปรับปรุงเพื่อให้ตัวรถสอดคล้องกับการใช้งานจริงบนถนน

ในช่วงแรกดอดจ์เผยว่าจะขอโกยยอดขายกันก่อน เพราะแทนที่จะมากับเครื่องยนต์ 6 สูบตามคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมของ Pony Car กลับส่งรุ่นท็อป SRT8 ออกมาทำตลาดกับเครื่องยนต์วี8 6,100 ซีซี 425 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 57.9 กก.-ม. ในตระกูล HEMI พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะออกมา

แน่นอนว่าในเมื่อยอดจองทะลุเป้าขนาดนี้ ตอนแรกที่มีข่าวว่าจะผลิตออกมาขายเพียง 5,000 คันในช่วงปีแรกของการทำตลาด (2008) ก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะต้องปรับเป้ามาเป็นไม่เกิน 10,000 คัน

SRT8 รุ่นแรกก็จะเป็นลิมิเต็ด เอดิชั่นที่ผลิตหมดแล้วก็จะไม่มีการผลิตเวอร์ชันพิเศษที่มาพร้อมกับล้อ 20 นิ้วจับคู่กับยาง 245/45R20 รุ่นพิเศษนี้ออกมาขายอีก แต่เครื่องยนต์วี8 6,100 ซีซีก็ยังเป็นทางเลือกในตลาดเหมือนเดิม ควบคู่กับเครื่องยนต์อีก 2 รุ่นใหม่ที่จะตามมา คือ วี8 5,700 ซีซีตระกูล HEMI เช่นกัน และก็วี6 3,500 ซีซีสำหรับเป็นทางเลือกของคนเบี้ยน้อยหอยน้อยแต่รสนิยมหรู


และคราวนี้ก็มีการปรับเป้าในปีต่อไปขึ้นมาเป็น 30,000 คัน รวมถึงจะมีการส่งออกไปขายในยุโรป และตลาดภูมิภาคอื่นอีกด้วย ส่วนการเปิดตัวคันจริงจะมีขึ้นที่งานชิคาโก้ มอเตอร์โชว์ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2008

ขณะที่ทางดอดจ์กำลังโกยยอดจองของแชลเลนเจอร์ล่วงหน้า ทางฝั่งจีเอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส ซึ่งมีความเคลื่อนไหวก่อนใครเพื่อนเกี่ยวกับการคัมแบ็คสู่ตลาด Pony car ด้วยการปัดฝุ่นนำชื่อคามาโรกลับมาขายอีกครั้ง หลังถูกโล๊ะออกจากโชว์รูมเมื่อปี 2002 แต่กลับเกิดความล่าช้าในการทำตลาด ถึงขนาดที่คามาโรใหม่ที่จะเปิดตัวขายในปลายปี 2008 ยังถูกพรางตัวอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาอยู่เลย ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งที่มีการเปิดเผยจากภายใน คือ การปรับเปลี่ยนรายละเอียดทางวิศวกรรมอยู่เป็นประจำจนส่งผลต่อกำหนดการพัฒนาตัวรถ

จากภาพ Spyshot ที่มีการนำออกเปิดเผยตามเว็บไซต์จะพบความเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปลักษณ์ภายนอกที่เกิดขึ้นกับคามาโรรุ่นจำหน่ายจริง เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นต้นแบบที่เปิดตัวในปี 2006 โดยเฉพาะเส้นตัวถังด้านท้ายและช่องรับลมสำหรับเบรกด้านหลัง ซึ่งถูกถอดออกไป

ขณะที่เสากลาง หรือ B-Pillar ถูกจะถูกนำมาใช้ในรุ่นจำหน่ายจริงเพื่อเหตุผลในเรื่องของความปลอดภัย แม้ว่ารุ่นต้นแบบจะไม่มีเพราะเป็นสปอร์ตแบบฮาร์ดทอป ส่วนล้อที่ติดมาจากโรงงานจะมีให้เลือกทั้งแบบ 18 และ 19 นิ้วตามรุ่นย่อยในการทำตลาด
นอกจากรุ่นคูเป้ที่จะเป็นตัวถังแรกในการทำตลาดแล้ว คามาโรยังเติมแนวรุกในตลาดกลุ่มนี้ด้วยรุ่นเปิดประทุนอีกด้วย แต่กว่าจะเริ่มขายได้อาจจะต้องรอจนถึงกลางปี 2009 โดยไลน์ผลิตจะอยู่ที่โรงงานเดียวกับคูเป้ ซึ่งก็คือ ไลน์ผลิตที่ Oshawa ในเมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา

นอกจาก 2 รุ่นนี้แล้ว ยังเหลือมีอีก 1 คันเป็นเป็น Pony Car ปริศนา เพราะในงาน SEMA Show ซึ่งเป็นงานแสดงอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีการนำต้นแบบของ Pony Car อีกรุ่น คือ บาร์ราคูด้า หรือคูด้า ที่เมื่อก่อนขายในแบรนด์พลีมัธ มาจัดแสดง

ต้นแบบรุ่นนี้แม้ว่าจะเป็นการโมดิฟายโดยนำรุ่นชาร์จเจอร์แบบ 4 ประตูแปลงโฉมให้เป็นสปอร์ตคูเป้ 2 ประตูโดยทางสำนักแต่ง Barrett-Jackson แต่ก็มีข่าวว่าทางไครสเลอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์พลีมัธ ก็เริ่มให้ความสนใจในการปัดฝุ่นนำโปรเจ็กต์นี้กลับมาสู่ตลาดเช่นกัน หลังจากที่เห็นอนาคตของแชลเลนเจอร์ค่อนข้างสดใส และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า

ส่วนเรื่องความเป็นไปได้จะมีมากน้อยแค่ไหน คงต้องรอดูกันต่อไป และนับจากนี้ ตลาดที่เคยเกือบสูญพันธุ์ไปแล้วอย่าว Pony Car ก็คงจะเริ่มกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง และไม่ปล่อยให้ฟอร์ด มัสแตงต้องเหงาและผูกขาดการกวาดลูกค้าอยู่เพียงค่ายเดียวในตลาด
กำลังโหลดความคิดเห็น