อย่าเพิ่งทำหน้างง เพราะถ้าแปลกันตรงๆ แบบตรงตัวทุกพยางค์สไตล์ซับไทยนรกตามสำนวนคนเล่น DVD แล้ว Pony Car มันก็คือ "รถลูกม้า" อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ถ้าว่ากันด้วยความหมายตามประวัติศาสตร์ยานยนต์แล้ว รถลูกม้าก็คือรถสปอร์ตขนาดเล็กราคาประหยัด ซึ่งเคยบูมอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 ในตลาดสหรัฐอเมริกา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นให้หันมาผลิตรถสปอร์ตระดับนี้ทำตลาดในบ้านตัวเอง (ว่ากันว่าโตโยต้า เซลิก้าคือ Pony Car รุ่นแรกของแบรนด์แดนปลาดิบ)
แต่เมื่อเข้าสู่ยุควิกฤตน้ำมัน แล้วกลุ่มลูกค้าเดิมหันไปหารถเก๋ง หรือไม่ก็สปอร์ตระดับหรู ทำให้ Pony Car ล้มหายตายจากกันไปเป็นแถว และเหลือเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่รอดจนถึงปัจจุบันคือ ฟอร์ด มัสแตง ซึ่งสปอร์ตรุ่นนี้ก็คือ ผู้บัญญัตินิยามของ Pony Car นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ปี 2006 Pony Car กลับมาเป็นหัวข้อสนทนากันอีก ไม่ใช่เพราะว่าฟอร์ดเลิกผลิตมัสแตง แต่ทว่าคู่แข่งอย่างจีเอ็ม และไครสเลอร์ต่างก็สนใจที่จะกลับเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ในตลาดประเภทนี้อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวต้นแบบออกมาค่ายละรุ่น และทั้ง 2 รุ่นมีคิวเริ่มขายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในปี 2008 นี้เอง ดังนั้นในช่วงปลายปีกระแส Pony Car จึงกลับมาสู่ความสนใจอีกครั้ง
เรื่องจะดังขนาดไหน ดูหลักฐานจากค่ายดอดจ์ของไครสเลอร์ที่จะรับหน้าที่เจาะตลาด Pony Car ดูก็ได้ เพราะแชลเลนเจอร์คันจริงยังไม่เปิดตัวให้เห็นเลย แค่แย้มบางส่วนออกมายั่วน้ำลาย พร้อมกับแจกรายละเอียดจากแผ่นพับอีกเล็กน้อย ก็กวาดยอดจองไปแล้วถึง 6,600 คันเลยทีเดียว และใช้เวลาแค่ 3 วันเท่านั้นเอง แถมราคาก็ไม่ได้ถูก เพราะซัดเข้าไปถึง 37,995 เหรียญสหรัฐ หรือเกือบๆ 1.3 ล้านบาท
น่าจะเรียกว่าเป็นข่าวดีสำหรับดอดจ์ หลังจากที่ข่าวมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้คอนเฟิร์มว่า ดอดจ์กำลังจะเสียบัลลังก์ในตลาดมินิแวนในอเมริกาเหนือให้กับฮอนด้า
จากรายละเอียดและข้อมูลที่มีการเปิดเผยตามเว็บไซต์ในตอนนี้ แชลเลนเจอร์ใหม่จะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่มีความแตกต่างจากต้นแบบเล็กน้อยเท่านั้น โดยในเรื่องของโครงตัวถังหลักไม่เปลี่ยนแปลงเป็นแบบสปอร์ต 2 ประตู 4 ที่นั่ง แต่ด้านหน้าและด้านหลังมีการปรับปรุงเพื่อให้ตัวรถสอดคล้องกับการใช้งานจริงบนถนน
ในช่วงแรกดอดจ์เผยว่าจะขอโกยยอดขายกันก่อน เพราะแทนที่จะมากับเครื่องยนต์ 6 สูบตามคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมของ Pony Car กลับส่งรุ่นท็อป SRT8 ออกมาทำตลาดกับเครื่องยนต์วี8 6,100 ซีซี 425 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 57.9 กก.-ม. ในตระกูล HEMI พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะออกมา
แน่นอนว่าในเมื่อยอดจองทะลุเป้าขนาดนี้ ตอนแรกที่มีข่าวว่าจะผลิตออกมาขายเพียง 5,000 คันในช่วงปีแรกของการทำตลาด (2008) ก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะต้องปรับเป้ามาเป็นไม่เกิน 10,000 คัน
SRT8 รุ่นแรกก็จะเป็นลิมิเต็ด เอดิชั่นที่ผลิตหมดแล้วก็จะไม่มีการผลิตเวอร์ชันพิเศษที่มาพร้อมกับล้อ 20 นิ้วจับคู่กับยาง 245/45R20 รุ่นพิเศษนี้ออกมาขายอีก แต่เครื่องยนต์วี8 6,100 ซีซีก็ยังเป็นทางเลือกในตลาดเหมือนเดิม ควบคู่กับเครื่องยนต์อีก 2 รุ่นใหม่ที่จะตามมา คือ วี8 5,700 ซีซีตระกูล HEMI เช่นกัน และก็วี6 3,500 ซีซีสำหรับเป็นทางเลือกของคนเบี้ยน้อยหอยน้อยแต่รสนิยมหรู
และคราวนี้ก็มีการปรับเป้าในปีต่อไปขึ้นมาเป็น 30,000 คัน รวมถึงจะมีการส่งออกไปขายในยุโรป และตลาดภูมิภาคอื่นอีกด้วย ส่วนการเปิดตัวคันจริงจะมีขึ้นที่งานชิคาโก้ มอเตอร์โชว์ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2008
ขณะที่ทางดอดจ์กำลังโกยยอดจองของแชลเลนเจอร์ล่วงหน้า ทางฝั่งจีเอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส ซึ่งมีความเคลื่อนไหวก่อนใครเพื่อนเกี่ยวกับการคัมแบ็คสู่ตลาด Pony car ด้วยการปัดฝุ่นนำชื่อคามาโรกลับมาขายอีกครั้ง หลังถูกโล๊ะออกจากโชว์รูมเมื่อปี 2002 แต่กลับเกิดความล่าช้าในการทำตลาด ถึงขนาดที่คามาโรใหม่ที่จะเปิดตัวขายในปลายปี 2008 ยังถูกพรางตัวอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาอยู่เลย ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งที่มีการเปิดเผยจากภายใน คือ การปรับเปลี่ยนรายละเอียดทางวิศวกรรมอยู่เป็นประจำจนส่งผลต่อกำหนดการพัฒนาตัวรถ
จากภาพ Spyshot ที่มีการนำออกเปิดเผยตามเว็บไซต์จะพบความเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปลักษณ์ภายนอกที่เกิดขึ้นกับคามาโรรุ่นจำหน่ายจริง เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นต้นแบบที่เปิดตัวในปี 2006 โดยเฉพาะเส้นตัวถังด้านท้ายและช่องรับลมสำหรับเบรกด้านหลัง ซึ่งถูกถอดออกไป
ขณะที่เสากลาง หรือ B-Pillar ถูกจะถูกนำมาใช้ในรุ่นจำหน่ายจริงเพื่อเหตุผลในเรื่องของความปลอดภัย แม้ว่ารุ่นต้นแบบจะไม่มีเพราะเป็นสปอร์ตแบบฮาร์ดทอป ส่วนล้อที่ติดมาจากโรงงานจะมีให้เลือกทั้งแบบ 18 และ 19 นิ้วตามรุ่นย่อยในการทำตลาด
นอกจากรุ่นคูเป้ที่จะเป็นตัวถังแรกในการทำตลาดแล้ว คามาโรยังเติมแนวรุกในตลาดกลุ่มนี้ด้วยรุ่นเปิดประทุนอีกด้วย แต่กว่าจะเริ่มขายได้อาจจะต้องรอจนถึงกลางปี 2009 โดยไลน์ผลิตจะอยู่ที่โรงงานเดียวกับคูเป้ ซึ่งก็คือ ไลน์ผลิตที่ Oshawa ในเมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา
นอกจาก 2 รุ่นนี้แล้ว ยังเหลือมีอีก 1 คันเป็นเป็น Pony Car ปริศนา เพราะในงาน SEMA Show ซึ่งเป็นงานแสดงอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีการนำต้นแบบของ Pony Car อีกรุ่น คือ บาร์ราคูด้า หรือคูด้า ที่เมื่อก่อนขายในแบรนด์พลีมัธ มาจัดแสดง
ต้นแบบรุ่นนี้แม้ว่าจะเป็นการโมดิฟายโดยนำรุ่นชาร์จเจอร์แบบ 4 ประตูแปลงโฉมให้เป็นสปอร์ตคูเป้ 2 ประตูโดยทางสำนักแต่ง Barrett-Jackson แต่ก็มีข่าวว่าทางไครสเลอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์พลีมัธ ก็เริ่มให้ความสนใจในการปัดฝุ่นนำโปรเจ็กต์นี้กลับมาสู่ตลาดเช่นกัน หลังจากที่เห็นอนาคตของแชลเลนเจอร์ค่อนข้างสดใส และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ส่วนเรื่องความเป็นไปได้จะมีมากน้อยแค่ไหน คงต้องรอดูกันต่อไป และนับจากนี้ ตลาดที่เคยเกือบสูญพันธุ์ไปแล้วอย่าว Pony Car ก็คงจะเริ่มกลับมาคึกคักกันอีกครั้ง และไม่ปล่อยให้ฟอร์ด มัสแตงต้องเหงาและผูกขาดการกวาดลูกค้าอยู่เพียงค่ายเดียวในตลาด