“พีทีจี เอ็นเนอยี” ลั่นปี 2562 กำไรสุทธิ 1,563 ล้านบาท เติบโต 150.60% โชว์ EBITDA 5,269 ล้านบาท เติบโต 50.20% เดินหน้าจ่ายปันผล 0.50 บาทต่อหุ้น จ่อขี้น XD วันที่ 11 มีนาคม 2563 พร้อมส่งซิกผลการดำเนินงานปี 2563 EBITDA โตอีก 15-20% ลุยทุ่มงบลงทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพหนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,563 ล้านบาท เติบโต 150.60% จากปี 2561 ล้านบาท เนื่องจากมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) อยู่ที่ 5,269 ล้านบาท เติบโต 50.20% จากปี 2561 มี EBITDA อยู่ที่ 3,509 ล้านบาท โดยมีปัจจัยการเติบโตมาจากค่าการตลาดที่กลับมาสู่ภาวะปกติ หลังการขอความร่วมมือในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลของภาครัฐในปี 2561 รวมทั้งธุรกิจ Non-oil ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ทั้งนี้ในปี 2562 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 120,027 ล้านบาท เติบโต 11.30% จากปีก่อน รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 107,829 ล้านบาท จากปริมาณการขายในธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 4,681 ล้านลิตร เติบโต 19.40% จากปีก่อน ที่มีปริมาณการขายในธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 3,921 ล้านลิตร เนื่องจากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น โดยในปัจจุบันบริษัทมีการขายน้ำมันผ่านสถานีบริการ คิดเป็นสัดส่วน 93.70% ของปริมาณการขายทั้งหมด โดยในปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดผ่านช่องทางสถานีบริการเป็นเบอร์ 2 ของประเทศ
ขณะเดียวกันในการประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่1/2563 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ได้มีมติจ่ายเงินปันผล 0.50 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทยังได้กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) ในวันที่ 11 มีนาคม 2563 ซึ่งจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date)ในวันที่ 12 มีนาคม 2563 และบริษัทจะนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24 เมษายน 2563 ณ ห้องเพชรชมพู ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เพื่อขอมติอนุมัติต่อไป และมีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
นายพิทักษ์ กล่าวเพิ่มอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2563 โดยเบื้องต้นบริษัทคาดว่า EBITDA จะเติบโต 15-20% จากปี 2562 ที่มี EBITDA อยู่ที่ 5,269 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการขายที่เติบโต หลังจากมีการผลักดันธุรกิจ Non-Oil ที่มีกำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น ประกอบกับโครงการ Palm Complex ที่จะสามารสร้างกำไรได้เต็มปี รวมทั้งบริษัทยังมีการขยายการให้บริการในธุรกิจแก๊ส LPG และการบริหารค่าใช้จ่ายให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
พร้อมกันนี้บริษัทยังได้มีการตั้งงบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 4,500- 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในการขยายและปรับปรุงธุรกิจน้ำมัน 3,900 ล้านบาท, ธุรกิจ Non-oil อยู่ที่ 600 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 500 ล้านบาท และบริษัทยังมีการพิจารณาการลงทุนให้ใกล้เคียงกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เพื่อสร้างความมั่นคงของสถานะทางการเงิน และยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มขององค์กรในระยะยาว เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี การพัฒนาชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม