๐ ธรรมศาสตร์เดินหน้าโชว์บทบาทมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับประเทศ
๐ นำแนวคิดตอบโจทย์โลกยุคใหม่มาปฏิบัติอย่างเห็นผล
๐ เชื่อมโยงจิตวิญญาณในอดีตกับความต้องการในอนาคต
๐ GREATS - Active Learning เครื่องมือหล่อหลอมผู้นำในศตวรรษที่21
นับตั้งแต่การสถาปนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นหล่อหลอมบัณฑิตให้มีใจรักความเป็นธรรม และมีความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ในจิตวิญญาณมาอย่างต่อเนื่อง แต่โจทย์ใหม่ที่เพิ่มเติมมาในวันนี้ คือเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญของโลก ธรรมศาสตร์จึงทุ่มสรรพกำลังลงไปกับการสร้างสภาพแวดล้อมให้มีความเป็นสีเขียวเพื่อให้เกิดความใกล้ชิดกับธรรมชาติ รวมทั้ง การให้ความสำคัญกับการพัฒนาและรักษาสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องไปกับทิศทางการพัฒนาบนเส้นทางสู่ความยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์โลกยุค ใหม่ในรุปแบบเดียวกับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ควบคู่ไปกับเป้าหมายของการสร้างผู้นำในศตวรรษที่ 21
จาก“แนวคิด”สู่“การปฏิบัติ”
รองศาตราจารย์เกศินี วิฑูรชาติ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและบริหารศูนย์รังสิต และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการขับเคลื่อนมธ.ไปบนแนวทางแห่งความยั่งยืน (Sustainable University) ว่า มีแนวทางปฏิบัติ 9 ด้านที่เป็นรูปธรรม ประกอบด้วย หนึ่ง - พลังงาน (Energy) ซึ่งไม่ใช่เพียง “การประหยัด” แต่ต้องให้ความสำคัญกับ “การผลิต” ให้ได้อีกด้วย และต้องคำนึงถึงการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืนโดยต้องไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
สอง - อาคารเขียว (Green Building) โดยดำเนินการทั้งอาคารที่จะก่อสร้างใหม่ และการปรับปรุงอาคารเก่าให้ดีขึ้น
สาม- การจัดการขยะ (Garbage Management) โดยต้องจัดการตั้งแต่ต้นทางคือการผลิตขยะให้น้อยลง ไม่ใช่เพียงการทิ้งให้ถูกต้อง สี่ - การจัดการน้ำ (Water Management) นอกจากการประหยัดโดยใช้น้ำให้น้อยลง ยังต้องนำน้ำไปบำบัดเพื่อกลับมาใช้ใหม่ด้วย ห้า- การเดินทาง (Transportation) การส่งเสริมการเดินทางที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย
หก - พื้นที่สีเขียว (Natural Area Conservation and Management) ต้องมีพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งรวมพื้นที่เปิดโล่ง โดยมีเป้าหมายที่จะต้องทำให้ได้ถึง 70% จากปัจจุบันที่ทำได้ 55% แล้ว เจ็ด - สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Health&Wellness) ไม่เพียงการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในเรื่องการดูแลสุขภาพ และการใช้ชีวิตให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติและดูแลสิ่งแวดล้อม แต่ต้องลงลึกถึงการลงมือปฏิบัติด้วยการขยายผลการบริโภคอาหารอินทรีย์ เช่น โรงอาหารที่จำหน่ายอาหารอินทรีย์ ร้านจำหน่ายอาหารอินทรีย์ การปรับปรุงการให้บริการด้านการกีฬา เป็นต้น
แปด - การเรียนการสอนและการวิจัย (Academic&Research) ต้องมีวิชาที่จะสามารถสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับพฤติกรรม ไม่ใช่ในระดับการรับรู้เท่านั้น เช่น วิชา TU 100 พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม วิชา TU 103 ชีวิตกับความยั่งยืน เพื่อปลูกฝัง ให้นักศึกษาใช้ความรู้โดยคำนึงถึงความยั่งยืน ของสังคมและโลก ไม่ใช้ความรู้แบบแยกส่วน ไม่ส่งเสริมการกระตุ้นการบริโภค ที่เกินความจำเป็นเพียงเพราะมุ่งเป้าการเพิ่มยอดขายและผลกำไร
เก้า - ความเป็นธรรมทางสังคม (Social Justice) แม้ว่า มธ.จะปฏิบัติในเรื่องนี้ได้อย่างดีด้วยการสร้างบัณฑิตที่รักความเป็นธรรม ตามคำขวัญของ มธ.คือ “ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” แต่ มธ.ยังเดินหน้าปลูกฝังเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผ่านการเรียนการสอนในทุกคณะและทุกสาขาวิชาที่ให้นำปัญหาจากสังคมและชุมชนรอบข้างมาเป็นโจทย์แห่งการเรียนรู้ในภาคปฏิบัติสำหรับนักศึกษาในการฝึกคิดและลงมืแก้ไขปัยหาอย่างเป็นรูปธรรมให้กับสังคม
ดังนั้น “มหาวิทยาลัยที่ยั่งยืน” ในความหมายของธรรมศาสตร์ จึงเป็นมากกว่าเรื่องของสีเขียว หรือสิ่งแวดล้อม หากแต่หมายรวมถึง การดำเนินงานในแง่มุมรอบด้านที่สะท้อนความใส่ใจในสังคมและสิ่งแวดล้อม และแน่นอนที่สำคัญย่อมหมายถึงบัณฑิตที่ผลิตออกไปต้องมีสำนึกช่วยให้โลกเกิดความยั่งยืนในทุกมิติของชีวิต
สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนา
ด้วยความมุ่งมั่นให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน จึงมีตัวอย่างการพัฒนาในด้านต่างๆ ที่ก่อเกิดเป็นรูปธรรมและเป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรมของ มธ. เช่น “เรื่องพลังงาน” ซึ่งได้รับการอนุมัติโครงการติดตั้งโซล่าร์เซลบนหลังคาอาคารบนพื้นที่ 50% ของ มธ.ศูนย์รังสิต จะสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 10 เมกกะวัตต์ โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนติดตั้งและจัดการระบบ และมธ.จะซื้อไฟฟ้าจากเอกชนรายนั้น
สำหรับที่ผ่านมา ได้จัดทำโครงการ“โซล่าร์พาร์ค” ซึ่งเป็นสวนสาธารณะในพื้นที่ประมาณ 5 หมื่นตารางเมตร และมีร้านกาแฟที่ใช้ชื่อว่า “Cafe Zero Carbon” ใช้พลังงานทั้งหมดจากพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็น ไฟส่องทาง เครื่องปั๊มน้ำ และการทำกิจกรรมต่างๆ ในร้านกาแฟ นับเป็นการก้าวไปอีกขั้นจากที่ได้มีการเปิดร้านกาแฟ “Cafe Velo Dome” ตามนโยบายของ มธ.ซึ่งส่งเสริมการใช้จักรยาน
“เรื่องการจัดการของเสีย” ด้วยการร่วมมือกับร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 10 สาขาใน มธ.รังสิต ไม่มีการให้ถุงพลาสติกกับลูกค้าที่ซื้อสินค้า แต่เพื่อให้บริการกับลูกค้าที่ต้องการ จึงมีการจำหน่ายถุงขนาดกลางในราคาใบละ 1 บาท และจะนำเงินที่ได้ไปเป็นสวัสดิการ ให้กับพนักงานแยกขยะของ มธ. เพื่อให้เกิดความตระหนักว่าทุกครั้งที่ใช้ถุงจะเกิดการผลิตขยะ โดยเริ่มดำเนินการไปแล้ว ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีการแจกแก้วน้ำพกพาสะดวก (pocket glass) ให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกคน เป็นการรณรงค์ให้นักศึกษาดื่มน้ำจากตู้กดน้ำ ซึ่งสะอาดมีคุณภาพมาตรฐาน เพื่อลดปริมาณขวดพลาสติก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมนักศึกษา เนื่องจากมีค่านิยมว่าการดื่มน้ำ จากตู้กดแล้ว จะดูไม่มีระดับหรือไม่เท่ ให้มีค่านิยมใหม่ตามสโลแกน “Fill your own glass and save the world”
“การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่” โดยการออกประกาศของ มธ.ห้ามนำน้ำประปามารดต้นไม้ จึงมีการนำน้ำจากคูคลองรอบ ศูนย์รังสิต ซึ่งผ่านการบำบัดแล้วมาใช้รดต้นไม้ ซึ่งการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่มีสัดส่วน 40% ของน้ำใช้ทั้งหมด
“เรื่องการขนส่งหรือการเดินทาง” จากเดิมที่มีโครงการ “จักรยานยืมรายวัน” ในตอนนี้มีการริเริ่มโครงการใหม่ “จักรยานยืม-คืนอัตโนมัติ” ด้วยการสามารถยืมและคืนจักรยานที่ใดก็ได้ภายในเวลา 30 นาที โดยใช้บัตรนักศึกษา ซึ่งปัจจุบันเป็นเฟสแรกมีจักรยานในโครงการ 180 คัน และจากการเปิดโครงการมาประมาณ 1 เดือนได้รับผลสำเร็จมาก
ในแง่ของกิจกรรมนักศึกษา โดยทั่วไปกิจกรรมของนักศึกษามักจะเป็นกิจกรรมนอกห้องเรียนหรือไม่เกี่ยวกับวิชาเรียน แต่กิจกรรมสำหรับนักศึกษาธรรมศาสตร์เริ่มตั้งแต่ในห้องเรียน ในวิชา TU 100 พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์วิชาพื้นฐานเพื่อหล่อหลอมให้นักศึกษาทุกคนได้เรียนรู้และเข้าใจการทำกิจกรรมเพื่อสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ขณะเดียวกัน ยังสร้างความตระหนักให้ชาวบ้านหรือชุมชนที่เกี่ยวข้องและอยู่โดยรอบมหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ ยังมีการรวมกลุ่มนักศึกษากว่า 10 ชุมนุม เพื่อทำกิจกรรมนอกห้องเรียนที่เป็นการอาสาบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม นอกจากนี้ ยังมี “ศูนย์อาสาสมัคร” ซึ่งเปิดรับนักศึกษารุ่นละ 40-50 คน มาแล้ว 4 รุ่น เพื่อทำโครงงานสร้างสรรค์สังคมในด้านต่างๆ เช่น โครงงานอาสาสมัครสอนนักเรียนในโรงเรียนของชุมชนต่างๆ เป็นประจำทุกสัปดาห์ และการรณรงค์ในเรื่องต่างๆ เช่น การปลูกต้นไม้ เป็นต้น
นวัตกรรมในเรื่อง “การศึกษาและการวิจัย” เพื่อมุ่งสู่สังคมที่ยั่งยืน คือการเปลี่ยนจาก “Teaching” เป็น “Learning” ให้มากขึ้น เพราะเมื่อคนในสังคมคิดเป็นสังคมจะยั่งยืนได้อย่างแน่นอน เพราะคนจะรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ แต่อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมต่างๆ จะเปลี่ยนได้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ โดยวิธีการที่ดีคือต้องปลูกฝังให้อยู่ในกิจวัตรประจำวัน ซึ่งเริ่มต้นในวิชา TU 103 ชีวิตกับความยั่งยืน
ดังนั้น นักศึกษาที่ลงเรียนในวิชานี้ซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานที่ทุกคนต้องเรียน จะต้องดาวน์โหลดแอพลิเคชั่น “TU Sustainability Apps” ออกมาใช้เพื่อบันทึกพฤติกรรมการบริโภคของตนเองทุกๆวันใน 4 ด้าน ได้แก่ 1.การใช้พลังงาน 2.การเดินทาง 3.การใช้น้ำ 4.การทำให้เกิดขยะ โดยไม่สามารถบันทึกย้อนหลังได้ แอพดังกล่าวจะมีกราฟรายงานที่ทำให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูล 2 ส่วนคือ 1.เปรียบเทียบบันทึกของตนเองกับนักศึกษาทั้งหมดที่ลงเรียนในวิชานี้ และ2.เปรียบเทียบบันทึกของตนเองกับค่าเฉลี่ยของประเทศ เพื่อให้ตระหนักว่าการใช้ชีวิตของเขาในแต่ละวันก่อให้เกิดมลภาวะและสร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมโดยมีคาร์บอนฟูทปริ้นต์ที่เกิดกับ โลกเท่าไร จะต้องระมัดระวังอย่างไร และจากต้นเทอมถึงปลายเทอมการบริโภคได้ปรับเปลี่ยนไปในแนวรักษ์โลกมากขึ้นหรือไม่
สำหรับเรื่อง “สุขภาพและความเป็นอยู่” ในปีหน้า มธ.จะมีการประกาศให้เป็น “ปีแห่งความปลอดภัย” ในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะความปลอดภัยในการทำงานและการใช้ห้องปฏิบัติการ โดยจะมีการจัด TU Safety Week และมีการสอบเพื่อให้ได้ safety card ก่อนเข้าห้องแล็บ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้นักศึกษาเกิดความตระหนักในเรื่องความปลอดภัยและ กระตุ้นให้อาจารย์ตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ
ในส่วนไฮไลท์ที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ“โครงการอุทยานเรียนรู้ป๋วย 100 ปี” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนา มธ.ศูนย์รังสิต คือการเป็นศูนย์ธรรมศาสตร์เพื่อประชาชน ชุมชนแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเมืองมหาวิทยาลัยสีเขียวที่ยั่งยืน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาคมธรรมศาสตร์และชุมชนเมือง เป็นสวนสาธารณะระดับเมืองที่ตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่สะท้อนความเป็นมาทางนิเวศวิทยาแห่งทุ่งรังสิต และเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัยในการให้บริการประชาชน
ที่สำคัญยังเป็นพื้นที่รวบรวมประวัติชีวิต ผลงาน แนวคิด และบทบาทหน้าที่ของปูชนียบุคคลของชาติคือ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาล ซึ่งจะเป็นตัวแทนและแสดงให้คนรุ่นหลังยึดเป็นแบบอย่างในคุณสมบัติความอ่อนน้อมถ่อมตน และความเรียบง่าย
โดยพื้นที่ในอาคารออกแบบให้สอดคล้องกับวิถีการใช้ประจำวันของประชาคมธรรมศาสตร์และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การเป็นมหาวิทยาสีเขียวเพื่อประชาชน อาคาร 3 ชั้น ประกอบด้วย “ศูนย์บริการการศึกษาและวิชาการ” เป็นพื้นที่เพื่อจัดนิทรรศการชั่วคราว หอศิลป์ ห้องสมุดชุมชน และห้องสัมมนา “คอนเสิร์ตฮอลล์” รองรับผู้ชมได้ 500 ที่นั่ง พื้นที่จัดแสดงดนตรีและการแสดงทั้งของนักศึกษา ประชาชม และบุคคลทั่วไป
“พื้นที่นิทรรศการกลางแจ้ง” นำเสนอเรื่องราวความคิดและคุณูปการของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ทำเพื่อประชาชนตลอดมา “พิพิธภัณฑ์ประชาธิปไตย และธรรมศาสตร์กับการเมืองไทย” รวบรวมข้อมูลและเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยและการเมืองไทยที่สมบูรณ์ที่สุด “หอจดหมายเหตุ” เก็บรวบรวมเอกสารสำคัญของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ“ศูนย์อาหารและร้านขายของที่ระลึก” บริการอาหารที่มีคุณภาพเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้บริโภค โดยมีการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อดำเนินกิจกรรมในอาคาร และมีเป้าหมายจะก่อสร้างเสร็จภายในปี 2561
การก้าวเดินบนเส้นทางที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและมีเป้าหมายอยู่ที่ความยั่งยืนของสังคมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีทั้งแนวความคิดและการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมทั้ง การบ่มเพาะโดยใช้ทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมทางกายภาพและการสร้างความตระหนักด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นับเป็นการสร้างความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การหล่อหลอมนักศึกษาเพื่อให้กลายเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 21 ในวันที่โลกต้องการความยั่งยืนอย่างแท้จริง
GREATS - Active Learning
เครื่องมือสร้างผู้นำในศตวรรษที่ 21
มธ.ปรับหลักสูตรรองรับสังคมยุคใหม่ สู่เป้าหมายผลิตผู้นำในศตวรรษที่ 21 ก้าวทันโลกยุคปัจจุบัน ด้วย GREATS ซึ่งได้้แก่ 6 คุณลักษณะที่เป็นหัวใจของผู้นำในอนาคต โดยมุ่งพัฒนาทักษะ “คิด วิเคราะห์ ค้น” มากกว่าเนื้อหาตามตำรา ฝึกเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวเพื่อนำความรู้ไปแก้ปัญหาแบบบูรณาการ ไม่ยึดติดกับการเรียนเนื้อหาแบบแยกส่วน และเน้นการเชื่อมโยงวิชาการจากโลกภายสู่การเรียนรู้โดยไม่กักกันนักศึกษาไว้ในกำแพงสี่เหลี่ยมของห้องเรียน
รองศาสตราจารย์ ดร.พิภพ อุดร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า มธ.มีเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่เพียงผลิตบัณฑิตออกไปมีงานทำ หากแต่ต้องการสร้างผู้นำในศตวรรษที่ 21 ให้กับทุกสาขา วิชาชีพ ดังนั้นจึงบกเครื่องโครงสร้างวิชาพื้นฐานที่นักศึกษาปี 1 ทุกคนต้องเรียนในรูปแบบใหม่ทั้งหมด โดยจัดการเรียน ตามแนวทาง Active Learning ที่ผู้เรียนต้อง “ออกแรง” ในการคิด วิเคราะห์ และค้นคว้า เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้ ที่ต้องการ ไม่ใช่นั่งรอฟังจากอาจารย์ หรือเรียนรู้แบบดาวน์โหลดทุกอย่างจากผู้สอน หากแต่ต้องการทำให้นักศึกษาร้อง “อ๋อ” จากการเรียนรู้และความเข้าใจผ่านกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ซึ่งไม่จำกัดแค่การเล็คเชอร์
โดยพยายามลดปริมาณ เลกเชอร์ไม่เกิน 50% และการเลคเชอร์ก็มุ่งเน้นไปที่การเปิดโลกทัศน์และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความใฝ่รู้ และค้นคว้าต่อเนื่อง มากกว่าที่จะบรรยายเนื้อหาสาระที่นักศึกษาสามารถกูเกิ้ลหาได้ด้วยตนเอง ที่สำคัญ การเรียนการสอนต้องสนุกสนาน มีสาระ สร้างความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องที่เรียนกับโลกและสังคมที่เป็นจริง ผ่านการทำโครงงานต่างๆที่ผลักดันให้นักศึกษาต้องออกไปค้นคว้านอกห้องเรียน นอกมหาวิทยาลัยมากขึ้น ใส่ใจในสังคมมากขึ้น โดยที่การวัดผลก็จะลดสัดส่วนการสอบให้ไม่เกิน 50% และไปวัดผลการเรียนรู้และความงอกงามทางปัญญาของนักศึกษาผ่านวิธีการอื่นๆ มากยิ่งขึ้น
หลักสูตรวิชาศึกษาทั่วไปจึงออกแบบมาเพื่อให้ผู้เรียนมีลักษณะเป็นผู้นำ ก้าวทันโลกยุคปัจจุบัน ฝึกทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ รู้จักตนเอง รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ผ่าน 6 คุณลักษณะของ GREATS ได้แก่ 1. Global Mindset ทันโลก ทันสังคม 2. Responsibility สำนึกรับผิดชอบอย่างยั่งยืน 3. Eloquence สื่อสารสร้างสรรค์และทรงพลัง 4. Aesthetic Appreciation มีสุนทรียะในหัวใจ 5.Team Leader มีความเป็นผู้นำ ทำงานเป็นทีม และ 6. Spirit of Thammasat มีจิตวิญญาณธรรมศาสตร์
6 คุณลักษณะดังกล่าว ได้ถูกแปลงเป็น 3 เสาหลัก ได้แก่ 1. Global Mindset การรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ทันสังคม รักในแนวคิดความยั่งยืน และรู้จักรากเหง้าไทยและอาเซียน 2. Soft Skillsทักษะการใช้ชีวิตในสังคม สื่อสารและสร้างสรรค์อย่างทรงพลัง เข้าใจและชื่นชมความงามในชีวิต สุนทรียะในหัวใจสุขภาพกายใจตนเอง และคนรอบข้าง และ 3.Spirit of Thammasat มีความเป็นธรรมศาสตร์ รักประชาธิปไตย เสรีภาพ เป็นธรรม มีจิตอาสา และยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นทุกที่ทุกเวลา ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อม ให้กับนักศึกษาก่อน สำเร็จการศึกษาออกไปรับใช้สังคมต่อไป
สำหรับแนวทางการจัดการเรียนการสอนนั้น จะสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ให้นักศึกษาใหม่ และเปิดโลกวิชาการและโลกรอบตัว รู้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและสังคมโลก รวมถึงจะท้าทายกรอบความเชื่อเดิม และเปิดโลกใหม่ เพื่อทำความเข้าใจสังคม ให้เห็นความหลากหลายและความซับซ้อนของสังคม สามารถเชื่อมโยงมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน รวมถึงมุ่งมั่นที่จะสร้างพลเมืองที่ดีของโลก
โดยจะเน้นให้นักศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคม มีจิตสาธารณะ ซึ่งเป็นการเรียนการสอนที่เน้นทำกิจกรรมเพื่อสังคมนอกห้องเรียนมากกว่าฟังอาจารย์บรรยายในห้องเรียน ซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับความเป็นพลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคม รหัสวิชา มธ.103 ชีวิตกับความยั่นยืน(Life and Sustainability) เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักศึกษา ให้เรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ความสัมพันธ์ระหว่างพลวัตของธรรมชาติ มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงาน เศรษฐกิจ สังคม ในความขัดแย้งและการแปรเปลี่ยน รวมถึงองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตสู่ความยั่งยืน ซึ่งนักศึกษาจะไม่ใช่แค่นั่งเรียน แต่ต้องออกไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียนด้วย โดยอาจารย์และนักศึกษาต้องไปทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเรียนรู้จากชีวิตจริง ประสบการณ์จริง เพราะถ้าคนคิดเป็นสังคมก็จะยั่งยืนด้วย
“ดังนั้น สิ่งที่เราทำในตอนนี้คือทำอย่างไรจึงไม่ยึดติดแต่เรื่องวิชาการ แต่ทำอย่างไรให้นักศึกษาตั้งแต่ปี 1 ตระหนักตั้งแต่ต้นว่า เขาไม่ใช่แค่นักศึกษา แต่เป็นคนที่จะต้องเติบโตเพื่อไปเป็นผู้นำในอนาคต การคิด การใช้ชีวิต การเรียนรู้ต้องเปลี่ยนแปลงหมด ต้องสร้างสำนึกว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆต้องเริ่มต้นที่ตนเอง”
“วิชาพื้นฐายใหม่ทั้ง 7 วิชา ออกแบบมาเพื่อช็อคนักศึกษาว่าเขาไม่ใช่นักเรียนที่การเรียนจำกัดอยู่แต่ในห้องเรียนอีกต่อไป แต่กระบวนการเรียนรู้ที่ใช้แนวทาง Active Learning ใช้กิจกรรม ใช้โครงงาน ใช้ปัญหา เป็นตัวนำ ดังนั้น วิชาที่ออกแบบมาจึงเป็นการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำเป็นส่วนมาก ที่สำคัญสอนให้เป็นคนมีความคิดลึกซึ้งมากขึ้น ใส่ใจและเข้าใจเรื่อง “why” ให้มากกว่าแค่ “what” และ “how”.
“กระบวนการแบบนี้เริ่มต้นตั้งแต่นักศึกษาก้าวเข้าสู่รั้วธรรรมศาสตร์ในปี 1 และเมื่อเขาขึ้นปี 2-3-4 ก็จะไปพบกับวิชา ระดับที่สูงขึ้นในคณะ ซึ่งเราได้เชิญชวนอาจารย์จากทุกคณะเข้ามาสู่ TU Active Learning Network เพื่อกระตุ้น และส่งเสริมให้คณาจารย์นำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไปปรับใช้ให้สอดรับ ให้ศาสตร์สาขาวิชาต่างๆของคณะ เพื่อให้มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน คือนักศึกษาต้องออกแรงในการคิด-วิเคราะห์-ค้น เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่ต้องการ นี่คือความหมายของ Active Learning ซึ่งไม่ใช่การเรียนแบบนั่งฟังบรรยาย ดังนั้น นักศึกษาต้องออกไปค้นคว้า ใช้กิจกรรมต่างๆ มาช่วยตอบโจทย์ที่ต้องการ และที่สำคัญตามแนวทางของธรรมศาสตร์ คือต้องเอาสังคม และชุมชนมามีส่วนร่วม ในการตั้งโจทย์เพื่อการเรียนรู้ของนักศึกษา”
ทั้งนี้ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า จะมีอาจารย์ที่สอนแบบ Active Learning กระจายอยู่ในทุกคณะ ทุกสาขาวิชาอย่างน้อย 300 คน โดยเฉลี่ยปีละ 100 คนเริ่มจากปีนี้ และจะมีการคัดเลือกอาจารย์มาเป็น Active Learning Agents เพื่อทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้แก่คณาจารย์ที่สนใจ ช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการขยายเครือข่ายของการทำ Active Learning ในทุกศาสตร์สาขาวิชาทั่วทั้งมหาวิทยาลัย และนำพาธรรมศาสตร์ไปสู่ความเป็นแบบอย่างของความเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้” ในที่สุด