จ๊อบส์ ดีบี เผยผลสำรวจ 5 ปัจจัยที่ส่งผลให้คนทำงานมีความสุข และไม่มีความสุขกับการทำงาน พร้อมเปิดตัวแคมเปญตลาดใหม่‘Happy is a better job’ กระตุ้นให้คนมีความสุขกับงานที่ทำ
นพวรรณ จุลกนิษฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด เผยผลสำรวจล่าสุดในหัวข้อ “ความสุขในการทำงานปี 2558” โดยจ๊อบส์ ดีบี พบว่าเกือบ 60 เปอร์เซ็นของคนทำงานในกรุงเทพและปริมณฑลมีความสุขกับการทำงาน และกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ พร้อมเปิดตัวแคมเปญการตลาดใหม่ ‘Happy is a better job’ หรือใช้ชีวิตให้สุข สนุกกับงานที่ใช่
จากปัญหาการขาดแคลนผู้สมัครงาน ประกอบกับตัวเลขการหมุนเวียนของพนักงานบริษัทที่มีสัดส่วนถึง 13% ในปีพ.ศ. 2556 ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องประสบปัญหาการทำงานโดยไม่ต่อเนื่อง อีกทั้งยังต้องทำฝึกสอนพนักงานใหม่ให้สามารถรับผิดชอบงานในตำแหน่งงานนั้นได้ จ๊อบส์ ดีบีจึงต้องการทราบถึงเหตุผลที่ทำให้พนักงานมีความสุข สามารถทำงานในองค์กรได้ในระยะยาว จึงได้จัดทำผลสำรวจความสุขในการทำงาน (Happiness Meter) ประจำปีพ.ศ. 2558 เพื่อให้ได้ทราบถึงปัจจัยที่ทำให้พนักงานมีความสุข และไม่มีความสุขในการทำงาน
คนทำงานในประเทศไทยเห็นพ้องกันว่า งานที่มีความสุขคือสิ่งที่ใช่ ? จริงหรือไม่ที่งานที่มีความสุขคืองานที่ใช่? จากผลการสำรวจหัวข้อ “Happiness Meter” ที่จ๊อบส์ ดีบีจัดทำขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฎว่าความสัมพันธ์ระหว่างความสุขและการจ้างงานที่ดีขึ้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจน
ข้อมูลจากผลสำรวจระบุว่า 58.3 % ของคนทำงานมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน โดย 5 ปัจจัยที่ส่งผลให้คนทำงานมีความสุขคือ 1. บทบาทและหน้าที่ที่รับผิดชอบในงานปัจจุบัน 2.ความสัมพันธ์ที่ดีที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา 3.เงินเดือนที่ได้รับ 4.ช่วงเวลาการทำงาน เพราะสามารถจัดการความสมดุลในการใช้ชีวิตและการทำงานได้ 5. สิทธิประโยชน์และผลตอนแทนที่เป็นแรงจูงใจ
ในขณะที่ 41.6% ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ โดย 5 ปัจจัยที่ทำให้คนทำงานไม่มีความสุขกับการทำงาน คือ 1.ระบบการทำงานขององค์กร ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในการทำงาน 2.เงินเดือนที่ได้รับ 3.บทบาทและหน้าที่ที่รับผิดชอบในงานปัจจุบัน 4.ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา 5.สิทธิประโยชน์และผลตอนแทนที่เป็นแรงจูงใจ
สำหรับ 5 เหตุผลที่ทำให้คนทำงานตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่เคยทำก่อนหน้านี้คือ 1.ไม่มีโอกาสในการเติบโตในองค์กร 2. เข้ากับเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชาไม่ได้ 3.ได้การปรับเงินเดือน แต่ไม่เพียงพอ 4.บริษัทหรือองค์กรไม่มีระบบที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานให้สำเร็จและมีประสิทธิภาพ 5.ไม่ชอบงานที่รับผิดชอบอยู่
รายงานฉบับนี้ระบุว่าพนักงานไทยส่วนใหญ่ตั้งใจทำงานกับองค์กรนั้นๆ ประมาณ 3 ปีเป็นอย่างมาก โดย 38% ระบุว่าจะทำงานกับองค์กรของตัวเองอีกประมาณ 1 ถึง 3 ปี และอีก 27% บอกว่ากำลังมองหาโอกาสที่ดีกว่าให้กับตัวเองภายในปีนี้
32% ของผู้ตอบแบบสอบถามอยู่ในระดับหัวหน้างาน โดยผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุงานประมาณ 1-4 ปีคิดเป็น 31% ของทั้งหมด และเป็นกลุ่มเพิ่งเริ่มทำงานประมาณ 9% นั่นหมายความว่าพนักงานจำนวนมากที่แม้ทำงานมาแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือมีรายได้หรือผลตอบแทนที่น่าพอใจในระดับหนึ่งก็มองหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับหน้าที่การงานระยะสั้นของตัวเอง
มีประเด็นที่น่าสนใจจากรายงานฉบับนี้ว่างานดีกว่าเทียบได้กับการทำงานอย่างมีความสุขหรือไม่? ผลการสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนหนึ่งมีความสุขกับงานปัจจุบัน นอกเหนือจากนั้นมากกว่าครึ่งตอบว่ากำลังมองหางานที่ให้ค่าตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงหนึ่งถึงสามปีจากนี้ ซึ่งคาดได้ว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีความสุขกับงานปัจจุบัน ซึ่งพนักงานกลุ่มนี้ก็จะไม่รีรอหรือลังเลที่จะเปลี่ยนงานในทันทีที่พวกเขาไม่มีความสุขกับงานอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม วิธีการสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้แก่คนทำงานที่เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่รับผิดชอบอยู่ดังต่อไปนี้ 1.Happiness Check Up - สำรวจว่าทุกวันนี้มีความสุขกับการทำงานหรือไม่ 2. Goal & Passion - ตั้งเป้าหมายและแรงบันดาลใจ คนทำงานต้องมีเป้าหมายที่ใหญ่ และระยะเวลาเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้นๆ รวมถึงตั้งรางวัลชีวิตว่าหากเราทำได้ตามเป้า เราจะมอบรางวัลอะไรให้กับตัวเอง 3. Challenge - กำจัดความเบื่อหน่ายด้วยการมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่น่าสนใจและท้าทาย 4. Learn -เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ เพื่อพัฒนาชีวิต เรียนรู้คนรอบข้าง เพื่อนำสิ่งที่ดีมาปรับใช้ 5.Helpful -ช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่า เพื่อกระจายความสุขต่อสังคม
พร้อมกันนี้ จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) ยังได้เปิดตัวแคมเปญการตลาดใหม่ ‘Happy is a better job’ หรือ ใช้ชีวิตให้สุข สนุกกับงานที่ใช่ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนวัยทำงาน มองเห็นความสุขในการทำงาน และสร้างแรงจูงใจให้รู้สึกอยากทำงานประจำในบริษัทต่างๆ โดยแคมเปญดังกล่าวจะมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป