(จากคอลัมน์ Learn&Share โดย ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล (suwatmgr@gmail.com) เซกชั่น Good Health Smart Life ของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16-22 พฤษภาคม 2558)
พวกเราอยู่ในสังคมไทยดูแล้วก็เหมือนโชคดีกันนะครับ
เพราะได้สัมผัสกับบรรยากาศของวันขึ้นปีใหม่ถึง 3 ครั้ง ที่มีทั้งวันปีใหม่สากล วันตรุษจีน และวันสงกรานต์ หรือปีใหม่ไทย
ถ้าจะถือว่าวันขึ้นปีใหม่เป็นวันนับหนึ่งของศกใหม่ด้วยการเริ่มต้นบทบาทใหม่ให้ได้บันทึกว่ามีคุณค่ากับตัวเอง ครอบครัว และสังคมก็ยังได้
แถมแต่ละเทศกาลฉลองปีใหม่ทั้ง 3 รายการ ทางราชการก็มักจัดให้เป็นวันหยุดยาวหลายวัน เพื่อหวังว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้คึกคัก เพราะเป็นโอกาสให้คนได้หยุดไปจับจ่าย ได้กินได้เที่ยวอย่างมีความสุขกันทั่วหน้า
ลองมานึกย้อนการใช้เวลาช่วงหยุดยาว 5 วันของเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาก็มีความสุขดีครับ... ผมกับครอบครัวได้ไปชมศูนย์การค้าใหม่ ได้ใช้เวลาหลายวันทยอยจัดห้องหนังสือครั้งใหญ่ หลังจากปล่อยให้ล้นตู้ทั้งหนังสือและกองเอกสาร
ผมก็เลยได้ห้องหนังสือสะอาดสะอ้านสวยงามกลับคืนมา มีการจัดหมวดหมู่ประเภทหนังสือให้เรียบร้อย พร้อมกับได้จัดหนังสือหลายลังไปบริจาคให้ห้องสมุด
จะว่าไปแล้ว ผมได้ข้อคิดจากการลงแรงในกิจกรรมครั้งนี้พอสมควรว่า การจัดห้องหนังสือของผมก็คล้ายการจัดระเบียบ ความคิดและจัดลำดับภารกิจชีวิต จึงขอนำมาแบ่งปันประสบการณ์กันดังนี้ครับ
1. ทำเรื่องที่เกื้อกูลต่อเป็นเป้าหมายสำคัญ
คนส่วนใหญ่นั้น มักมีสิ่งของและหนังสือที่เก็บสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว อาจเป็นของที่มีคุณค่า มีความหมายหรือเก็บไว้แล้วมีโอกาสใช้ประโยชน์ได้ หรืออาจเป็นของที่ไม่ได้เหลียวแล เพราะไม่มีโอกาสถูกใช้ประโยชน์จนเหมือนขยะที่ดูดี
สิ่งของต่างๆ รวมทั้งหนังสือ อาจจะได้มาเพราะมีคนเอามามอบให้ หรือรับมาแจก หรือซื้อมาก็ตาม
หากมีโอกาสพิจารณาจัดลำดับความสำคัญ ก็จะกล้าตัดสินใจว่าจะเก็บไว้ต่อไปทั้งที่เป็นภาระ หรือจัดการเลือกทำในสิ่งที่เหมาะสมกับเป้าหมายชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเข้าใจชัดเจนว่า “อะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิต” ที่มีคุณค่าจริง ซึ่งเป็นเป้าหมายในระยะอันใกล้ ที่ต้องทำก่อนเพื่อให้เกื้อกูลต่อสิ่งสำคัญนั้น
2. อย่าลืมประยุกต์ใช้ 5 ส.เป็นตัวช่วย
ในประเทศญี่ปุ่น กิจกรรม 5 ส. ถูกนำไปใช้ในวงการธุรกิจต่างๆ อย่างกว้างขวาง เรียกว่า เป็นรากฐานของทุกภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเปล่า นั่นย่อมส่งผลให้มีการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity)
ในเมืองไทยก็นิยมใช้หลัก 5 ส. มาสร้างนิสัยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะอาด ดังที่มีการฝึกอบรมอยู่ทั่วไปใน 5 หมวดคือ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ และ สร้างนิสัย
ผมคิดว่าหลัก 5 ส. น่าจะนำมาประยุกต์ใช้เป็นพื้นฐานความมุ่งมั่นเพื่อสนับสนุนการทำสิ่งที่สำคัญของชีวิตให้ได้ตามเป้าหมาย
สะสาง ให้เกิดประสิทธิผล ไม่ใช่เพียงการจัดระบบงาน ระบบการจัดเก็บเอกสาร แต่ทีสำคัคัญ คือ “ระบบความคดิ ” จะต้องรู้จักแยกสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่เป็นผลดีโดยตรงกับสิ่งสำคัญของชีวิต
แต่ต้องเพิ่มสิ่งที่จำเป็นแต่ยังไม่มี เช่นถ้าเรื่อง “สุขภาพดีเป็นเรื่องสำคัญ” ก็ต้องเพิ่มแผนการบริหารร่างกาย และการคัดเลือกอาหารที่เป็นประโยชน์
สะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินชีวิต ด้วยการจัดระเบียบให้เกิดและรักษาสิ่งที่เป็นสาระกับชีวิตและการงาน
สะอาด ตรวจสอบความผิดปกติที่จะผิดเป้าหมาย ก็เป็นการทำความสะอาดวิถีชีวิต
สร้างมาตรฐาน ลดความผันแปรคือไม่ขาดสติ
สร้างนิสัย ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์จนเป็นนิสัย
อย่าเห็นว่า 5 ส. เป็นเรื่องเก่าที่ได้รับรู้กันนานแล้ว แต่เมื่อเราเอามาประยุกต์ใช้กันจริงๆ น่าจะมีคุณค่านะครับ
พวกเราอยู่ในสังคมไทยดูแล้วก็เหมือนโชคดีกันนะครับ
เพราะได้สัมผัสกับบรรยากาศของวันขึ้นปีใหม่ถึง 3 ครั้ง ที่มีทั้งวันปีใหม่สากล วันตรุษจีน และวันสงกรานต์ หรือปีใหม่ไทย
ถ้าจะถือว่าวันขึ้นปีใหม่เป็นวันนับหนึ่งของศกใหม่ด้วยการเริ่มต้นบทบาทใหม่ให้ได้บันทึกว่ามีคุณค่ากับตัวเอง ครอบครัว และสังคมก็ยังได้
แถมแต่ละเทศกาลฉลองปีใหม่ทั้ง 3 รายการ ทางราชการก็มักจัดให้เป็นวันหยุดยาวหลายวัน เพื่อหวังว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้คึกคัก เพราะเป็นโอกาสให้คนได้หยุดไปจับจ่าย ได้กินได้เที่ยวอย่างมีความสุขกันทั่วหน้า
ลองมานึกย้อนการใช้เวลาช่วงหยุดยาว 5 วันของเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาก็มีความสุขดีครับ... ผมกับครอบครัวได้ไปชมศูนย์การค้าใหม่ ได้ใช้เวลาหลายวันทยอยจัดห้องหนังสือครั้งใหญ่ หลังจากปล่อยให้ล้นตู้ทั้งหนังสือและกองเอกสาร
ผมก็เลยได้ห้องหนังสือสะอาดสะอ้านสวยงามกลับคืนมา มีการจัดหมวดหมู่ประเภทหนังสือให้เรียบร้อย พร้อมกับได้จัดหนังสือหลายลังไปบริจาคให้ห้องสมุด
จะว่าไปแล้ว ผมได้ข้อคิดจากการลงแรงในกิจกรรมครั้งนี้พอสมควรว่า การจัดห้องหนังสือของผมก็คล้ายการจัดระเบียบ ความคิดและจัดลำดับภารกิจชีวิต จึงขอนำมาแบ่งปันประสบการณ์กันดังนี้ครับ
1. ทำเรื่องที่เกื้อกูลต่อเป็นเป้าหมายสำคัญ
คนส่วนใหญ่นั้น มักมีสิ่งของและหนังสือที่เก็บสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว อาจเป็นของที่มีคุณค่า มีความหมายหรือเก็บไว้แล้วมีโอกาสใช้ประโยชน์ได้ หรืออาจเป็นของที่ไม่ได้เหลียวแล เพราะไม่มีโอกาสถูกใช้ประโยชน์จนเหมือนขยะที่ดูดี
สิ่งของต่างๆ รวมทั้งหนังสือ อาจจะได้มาเพราะมีคนเอามามอบให้ หรือรับมาแจก หรือซื้อมาก็ตาม
หากมีโอกาสพิจารณาจัดลำดับความสำคัญ ก็จะกล้าตัดสินใจว่าจะเก็บไว้ต่อไปทั้งที่เป็นภาระ หรือจัดการเลือกทำในสิ่งที่เหมาะสมกับเป้าหมายชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเข้าใจชัดเจนว่า “อะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิต” ที่มีคุณค่าจริง ซึ่งเป็นเป้าหมายในระยะอันใกล้ ที่ต้องทำก่อนเพื่อให้เกื้อกูลต่อสิ่งสำคัญนั้น
2. อย่าลืมประยุกต์ใช้ 5 ส.เป็นตัวช่วย
ในประเทศญี่ปุ่น กิจกรรม 5 ส. ถูกนำไปใช้ในวงการธุรกิจต่างๆ อย่างกว้างขวาง เรียกว่า เป็นรากฐานของทุกภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเปล่า นั่นย่อมส่งผลให้มีการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity)
ในเมืองไทยก็นิยมใช้หลัก 5 ส. มาสร้างนิสัยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสะอาด ดังที่มีการฝึกอบรมอยู่ทั่วไปใน 5 หมวดคือ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ และ สร้างนิสัย
ผมคิดว่าหลัก 5 ส. น่าจะนำมาประยุกต์ใช้เป็นพื้นฐานความมุ่งมั่นเพื่อสนับสนุนการทำสิ่งที่สำคัญของชีวิตให้ได้ตามเป้าหมาย
สะสาง ให้เกิดประสิทธิผล ไม่ใช่เพียงการจัดระบบงาน ระบบการจัดเก็บเอกสาร แต่ทีสำคัคัญ คือ “ระบบความคดิ ” จะต้องรู้จักแยกสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่เป็นผลดีโดยตรงกับสิ่งสำคัญของชีวิต
แต่ต้องเพิ่มสิ่งที่จำเป็นแต่ยังไม่มี เช่นถ้าเรื่อง “สุขภาพดีเป็นเรื่องสำคัญ” ก็ต้องเพิ่มแผนการบริหารร่างกาย และการคัดเลือกอาหารที่เป็นประโยชน์
สะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินชีวิต ด้วยการจัดระเบียบให้เกิดและรักษาสิ่งที่เป็นสาระกับชีวิตและการงาน
สะอาด ตรวจสอบความผิดปกติที่จะผิดเป้าหมาย ก็เป็นการทำความสะอาดวิถีชีวิต
สร้างมาตรฐาน ลดความผันแปรคือไม่ขาดสติ
สร้างนิสัย ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์จนเป็นนิสัย
อย่าเห็นว่า 5 ส. เป็นเรื่องเก่าที่ได้รับรู้กันนานแล้ว แต่เมื่อเราเอามาประยุกต์ใช้กันจริงๆ น่าจะมีคุณค่านะครับ