กรรมการไทยเห็นว่าภาครัฐควรสร้างระบบธรรมาภิบาลให้เข้มแข็งเพื่อแก้ปัญหาการคอร์รัปชัน พร้อมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และปฏิรูปการศึกษา รับเปิด AEC
ดร. บัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เปิดเผยว่า ผลสำรวจความคิดเห็นของกรรมการไทย ปี 2558 แสดงสัญญาณที่ดีว่ากรรมการให้ความสำคัญกับภาพระยะยาวและความยั่งยืนของธุรกิจมากขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่กรรมการอีก 1-3 ปีข้างหน้า แม้ว่าในปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับเรื่องตัวเลขทางการเงิน และการกำกับดูแลประเด็นระยะสั้นมากกว่าก็ตาม
กรรมการไทยส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจและการเมืองในประเทศปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย แต่อุปสรรคสำคัญยังเป็นเรื่อง การทุจริตคอร์รัปชัน สำหรับเรื่องการกำกับดูแลของภาครัฐนั้น กรรมการส่วนใหญ่มีความเห็นว่า นโยบายของรัฐบาลในปัจจุบันมีส่วนสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอยู่ในระดับปานกลาง และมองว่าประเด็นที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และธรรมาภิบาลของภาครัฐ
ปีนี้เป็นปีแรกที่สถาบัน IOD ริเริ่มจัดทำการสำรวจความคิดเห็นของกรรมการไทยต่อประเด็นกรรมการ การกำกับดูแลกิจการ (CG) แนวโน้มเศรษฐกิจ และกฎระเบียบภาครัฐขึ้น เพื่อประเมินมุมมองของกรรมการทั้งในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ การกำกับดูแลกิจการ เศรษฐกิจ และนโยบายการกำกับดูแลของภาครัฐ โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 12 มกราคม 2558 ถึง 25 กุมภาพันธ์ 2558 มีกรรมการที่ร่วมแสดงความคิดเห็น 436 คน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งด้านประสบการณ์ของกรรมการ ขนาดของกิจการและประเภทของอุตสาหกรรม ทำให้ข้อมูลที่ประเมินสามารถสะท้อนมุมมองและความคิดเห็นในประเด็นข้างต้นของกรรมการไทยได้เป็นอย่างดี
จากผลสำรวจด้านการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการไทยและการกำกับดูแลกิจการ (CG) พบว่า ปัจจุบันกรรมการไทยยังคงให้ความสำคัญกับการพิจารณาฐานะทางการเงินเป็นหลัก โดยจะมีการหารือกันเรื่องนี้ในการประชุมคณะกรรมการทุกครั้ง แต่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารน้อย ทั้งในเรื่องการวางแผนสืบทอดตำแหน่ง CEO และค่าตอบแทนผู้บริหาร อย่างไรก็ตาม กรรมการไทยมองว่า การทำหน้าที่ในการกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการใน 1-3 ปีข้างหน้า ต้องให้ความสำคัญกับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำเชิงรุกมากขึ้น โดยเน้นเรื่องการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การบริหารความเสี่ยงและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเป็นหลัก เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นทิศทางที่ดีที่คณะกรรมการบริษัทไทยให้ความสำคัญกับภาพระยะยาวของธุรกิจมากขึ้น
“กรรมการยุคใหม่ไม่ได้มีบทบาทแค่การพิจารณาเรื่องต่างๆ ที่ฝ่ายจัดการเสนอขึ้นมาเท่านั้น แต่ต้องพร้อมที่จะสวมบทบาทผู้นำเชิงรุกที่สามารถให้ข้อเสนอแนะและแนวทางที่เหมาะสมแก่ฝ่ายจัดการในการดำเนินการเรื่องต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ด้วย” ดร.บัณฑิต กล่าว
สำหรับประเด็นเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ในการกำกับดูแลของภาคทางการ และการให้ความสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนนั้น ร้อยละ 58 เห็นว่า นโยบายของรัฐบาลในปัจจุบันมีส่วนสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น ขณะที่ร้อยละ 29 มองว่า มีส่วนสนับสนุนการดำเนินธุรกิจน้อย ส่วนประเด็นเรื่องความเข้มงวดของกฎเกณฑ์ของภาครัฐนั้น ร้อยละ 49 มองว่าภาครัฐมีการออกกฎระเบียบมากเกินไป ทำให้ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ร้อยละ 42 มองว่าความเข้มข้นของกฎระเบียบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว
นอกจากนี้กรรมการไทยเห็นว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายหลัก 3 ด้าน เพื่อการพัฒนาประเทศ คือ 1. การสร้างระบบธรรมาภิบาลของภาครัฐให้มีความเข้มแข็งเพื่อแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชัน 2. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และ 3. การปฏิรูปการศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมด้านทรัพยากรมนุษย์ในการรองรับกับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
ด้านมุมมองของกรรมการไทยที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ กรรมการไทยร้อยละ 46 มองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นเล็กน้อยเทียบกับปี 2557 ขณะที่ร้อยละ 31 มองว่าเศรษฐกิจจะทรงตัว และอีกร้อยละ 18 เห็นว่าจะแย่ลงเล็กน้อย ส่วนมุมมองต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่กรรมการไทยให้ความสำคัญและติดตาม เพราะเป็นภาวะแวดล้อมสำคัญที่กระทบธุรกิจนั้นพบว่า ร้อยละ 42 มองสถานการณ์การเมืองมีแนวโน้มจะดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน และร้อยละ 11 มองแนวโน้มจะดีขึ้นมาก ขณะที่ร้อยละ 29 คิดว่าจะทรงตัว
แม้ว่ากรรมการไทยมองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะเติบโตดีขึ้นจากปีก่อน แต่กรรมการยังคงกังวลกับปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการดำเนินธุรกิจ คือ การทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 54 การขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพหรือมีทักษะที่จำเป็น ร้อยละ 48 และการมีกฎระเบียบมากเกินไป รวมถึงมีขั้นตอนการติดต่อกับทางการที่ยุ่งยาก ร้อยละ 36 ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของภาครัฐที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเพื่อรักษาและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว
ดร. บัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เปิดเผยว่า ผลสำรวจความคิดเห็นของกรรมการไทย ปี 2558 แสดงสัญญาณที่ดีว่ากรรมการให้ความสำคัญกับภาพระยะยาวและความยั่งยืนของธุรกิจมากขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่กรรมการอีก 1-3 ปีข้างหน้า แม้ว่าในปัจจุบันจะให้ความสำคัญกับเรื่องตัวเลขทางการเงิน และการกำกับดูแลประเด็นระยะสั้นมากกว่าก็ตาม
กรรมการไทยส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจและการเมืองในประเทศปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย แต่อุปสรรคสำคัญยังเป็นเรื่อง การทุจริตคอร์รัปชัน สำหรับเรื่องการกำกับดูแลของภาครัฐนั้น กรรมการส่วนใหญ่มีความเห็นว่า นโยบายของรัฐบาลในปัจจุบันมีส่วนสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอยู่ในระดับปานกลาง และมองว่าประเด็นที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และธรรมาภิบาลของภาครัฐ
ปีนี้เป็นปีแรกที่สถาบัน IOD ริเริ่มจัดทำการสำรวจความคิดเห็นของกรรมการไทยต่อประเด็นกรรมการ การกำกับดูแลกิจการ (CG) แนวโน้มเศรษฐกิจ และกฎระเบียบภาครัฐขึ้น เพื่อประเมินมุมมองของกรรมการทั้งในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ การกำกับดูแลกิจการ เศรษฐกิจ และนโยบายการกำกับดูแลของภาครัฐ โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 12 มกราคม 2558 ถึง 25 กุมภาพันธ์ 2558 มีกรรมการที่ร่วมแสดงความคิดเห็น 436 คน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งด้านประสบการณ์ของกรรมการ ขนาดของกิจการและประเภทของอุตสาหกรรม ทำให้ข้อมูลที่ประเมินสามารถสะท้อนมุมมองและความคิดเห็นในประเด็นข้างต้นของกรรมการไทยได้เป็นอย่างดี
จากผลสำรวจด้านการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการไทยและการกำกับดูแลกิจการ (CG) พบว่า ปัจจุบันกรรมการไทยยังคงให้ความสำคัญกับการพิจารณาฐานะทางการเงินเป็นหลัก โดยจะมีการหารือกันเรื่องนี้ในการประชุมคณะกรรมการทุกครั้ง แต่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารน้อย ทั้งในเรื่องการวางแผนสืบทอดตำแหน่ง CEO และค่าตอบแทนผู้บริหาร อย่างไรก็ตาม กรรมการไทยมองว่า การทำหน้าที่ในการกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการใน 1-3 ปีข้างหน้า ต้องให้ความสำคัญกับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำเชิงรุกมากขึ้น โดยเน้นเรื่องการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ การบริหารความเสี่ยงและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเป็นหลัก เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นทิศทางที่ดีที่คณะกรรมการบริษัทไทยให้ความสำคัญกับภาพระยะยาวของธุรกิจมากขึ้น
“กรรมการยุคใหม่ไม่ได้มีบทบาทแค่การพิจารณาเรื่องต่างๆ ที่ฝ่ายจัดการเสนอขึ้นมาเท่านั้น แต่ต้องพร้อมที่จะสวมบทบาทผู้นำเชิงรุกที่สามารถให้ข้อเสนอแนะและแนวทางที่เหมาะสมแก่ฝ่ายจัดการในการดำเนินการเรื่องต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าตามกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ด้วย” ดร.บัณฑิต กล่าว
สำหรับประเด็นเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ในการกำกับดูแลของภาคทางการ และการให้ความสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนนั้น ร้อยละ 58 เห็นว่า นโยบายของรัฐบาลในปัจจุบันมีส่วนสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น ขณะที่ร้อยละ 29 มองว่า มีส่วนสนับสนุนการดำเนินธุรกิจน้อย ส่วนประเด็นเรื่องความเข้มงวดของกฎเกณฑ์ของภาครัฐนั้น ร้อยละ 49 มองว่าภาครัฐมีการออกกฎระเบียบมากเกินไป ทำให้ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ร้อยละ 42 มองว่าความเข้มข้นของกฎระเบียบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว
นอกจากนี้กรรมการไทยเห็นว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายหลัก 3 ด้าน เพื่อการพัฒนาประเทศ คือ 1. การสร้างระบบธรรมาภิบาลของภาครัฐให้มีความเข้มแข็งเพื่อแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชัน 2. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และ 3. การปฏิรูปการศึกษา เพื่อเตรียมพร้อมด้านทรัพยากรมนุษย์ในการรองรับกับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
ด้านมุมมองของกรรมการไทยที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ กรรมการไทยร้อยละ 46 มองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นเล็กน้อยเทียบกับปี 2557 ขณะที่ร้อยละ 31 มองว่าเศรษฐกิจจะทรงตัว และอีกร้อยละ 18 เห็นว่าจะแย่ลงเล็กน้อย ส่วนมุมมองต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่กรรมการไทยให้ความสำคัญและติดตาม เพราะเป็นภาวะแวดล้อมสำคัญที่กระทบธุรกิจนั้นพบว่า ร้อยละ 42 มองสถานการณ์การเมืองมีแนวโน้มจะดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน และร้อยละ 11 มองแนวโน้มจะดีขึ้นมาก ขณะที่ร้อยละ 29 คิดว่าจะทรงตัว
แม้ว่ากรรมการไทยมองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะเติบโตดีขึ้นจากปีก่อน แต่กรรมการยังคงกังวลกับปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดต่อการดำเนินธุรกิจ คือ การทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 54 การขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพหรือมีทักษะที่จำเป็น ร้อยละ 48 และการมีกฎระเบียบมากเกินไป รวมถึงมีขั้นตอนการติดต่อกับทางการที่ยุ่งยาก ร้อยละ 36 ตามลำดับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของภาครัฐที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเพื่อรักษาและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว