xs
xsm
sm
md
lg

ทีดีอาร์ไอเผยอนาคตคุณภาพคนไทย 30 ปีข้างหน้า รับมือสังคมสูงวัย ชี้การศึกษา-ระบบสวัสดิการฉุดรั้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักวิชาการแนะการสร้างโอกาส-ลดความเสี่ยงของคนไทย 3 วัย ใน 3 ด้าน เผยหากมองลึกมองไกลอนาคตประเทศไทยในอีก 30 ปีข้างหน้า ชี้ความท้าทายประการหนึ่งคือการพัฒนาคุณภาพทุนมนุษย์ พบมีปัจจัยฉุดรั้งสำคัญคือคุณภาพการศึกษาและระบบสวัสดิการสังคมที่ยังไม่ดีพอ ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรม แต่ไม่สิ้นหวังเชื่อสังคมไทยสร้างโอกาสที่ดีกว่าได้

ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ และดร.ตรีนุช ไพชยนต์วิจิตร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เปิดเผยผลการศึกษาในหัวข้อ “การเติบโตอย่างเป็นธรรม : การสร้างโอกาสและการลดความเสี่ยงของประชาชน” ในการสัมมนาวิชาการทีดีอาร์ไอประจำปี 2557 โดยนำเสนอประเด็นหลักในช่วง 3 วัย ได้แก่ วัยเด็กกับโอกาสทางการศึกษา แรงงานกับโอกาสทางการทำงานและการออม และวัยผู้สูงอายุกับความเสี่ยงด้านสุขภาพและความมั่นคงทางรายได้

โดยระบุว่า ภาพรวมสังคมไทยในอีก 30 ปีข้างหน้า การสร้างสังคมที่ให้โอกาสและคุ้มครองความเสี่ยงทางสังคมแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกันถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายควรตระหนัก เนื่องจากโครงสร้างประชากรจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากขึ้นเป็น 35% ในขณะที่วัยเด็กมีเพียง 17% ซึ่งหากโครงสร้างเปลี่ยนจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน คนในแต่ละช่วงวัยมีปัญหาความเสี่ยงและความเป็นธรรมแตกต่างกัน การศึกษานี้จึงจะชี้ให้เห็นความเสี่ยงและโอกาสของคนในแต่ละช่วงวัยที่จะต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงไปพร้อมกันอย่างเป็นระบบจึงจะสร้างทุนมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพและรับมือกับสถานการณ์สังคมสูงวัยในสามทศวรรษหน้าได้

ดร.ตรีนุชกล่าวถึงวัยเด็กกับโอกาสทางการศึกษาว่า ในวัยเด็กความเสี่ยงมาจากระบบการศึกษา ซึ่งปัจจุบันระบบการศึกษาไทยใช้งบประมาณสูง แต่มีคุณภาพต่ำ และมีความเหลื่อมล้ำสูง

การปฏิรูปแก้ไขปัญหาเหล่านี้ควรเริ่มจากการยกระดับคุณภาพครู ซึ่งมีโอกาสทองจากการทดแทนครูที่เกษียณในสังกัด สพฐ. ถึงครึ่งหนึ่งในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยปรับระบบการคัดเลือกครูใหม่ให้เป็นการจัดทดสอบมาตรฐานระดับชาติและให้โรงเรียนมีบทบาทคัดเลือกผู้ที่ผ่านการทดสอบดังกล่าว จากเดิมที่แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้จัดการสอบ ซึ่งคุณภาพข้อสอบแตกต่างกันระหว่างเขตฯและโรงเรียนไม่มีบทบาทคัดเลือกครู

นอกจากนี้ ควรต้องพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งมักมีปัญหาเรื่องครูไม่ครบชั้นและมีต้นทุนต่อหัวนักเรียนสูง จำนวนโรงเรียนขนาดเล็กทั้งหมดมีถึง 15,000 แห่ง จาก 30,000 แห่ง และ 12,000 แห่งมีครูไม่ครบชั้น

ภาครัฐควรสนับสนุนให้โรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ใกล้กันและมีการคมนาคมที่สะดวกมาจัดการศึกษาร่วมกันและมีการคมนาคมที่สะดวกมาจัดการศึกษาร่วมกันและอุดหนุนค่าใช้จ่ายเดินทางให้นักเรียนสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกล ควรต้องจัดสรรครูเพิ่มให้เพียงพอต่อการจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ

ส่วนการลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา การจัดสรรทรัพยากรควรต้องคำนึงถึงการสร้างโอกาสให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนที่ดี ฐานะของนักเรียนและศักยภาพของโรงเรียน โดยมุ่งจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวเพิ่มขึ้นให้แก่นักเรียนจากจนในโรงเรียนขนาดเล็ก จากปัจจุบันที่นักเรียนทุกคนได้รับเงินอุดหนุนรายหัวเกือบเท่ากัน

ดร.วรวรรณ กล่าวถึงโอกาสและการลดความเสี่ยงสำหรับวัยแรงงานและวัยสูงอายุว่า สำหรับวัยแรงงานความเสี่ยงในปัจจุบัน คือ ยังมีแรงงานจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่ตกหล่นจากระบบการศึกษา กลุ่มผู้สูงอายุ และแรงงานต่างด้าว ที่ไม่ได้รับค่าจ้างตามมาตรฐานขั้นต่ำ และอยู่นอกกรอบการคุ้มครองของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน จำเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายให้เกิดความเป็นธรรมกับแรงงานทุกกลุ่มและในทุกอุตสาหกรรมโดยไม่มีข้อยกเว้น

เมื่อคนมีรายได้เพียงพอกับการยังชีพก็ไม่จำเป็นต้องมีโครงการประชานิยม กฎหมายคุ้มครองแรงงานควรมุ่งเน้นคุ้มครองแรงงานไม่ใช่คุ้มครองผู้ประกอบการ อีกความเสี่ยงในวัยแรงงานคือมักมีการออมต่ำและจะมีผลสืบเนื่องไปซ้ำเติมสู่วัยสูงอายุซึ่งจะมีปัญหาด้านสุขภาพ และขาดความมั่นคงทางรายได้

ในด้านสุขภาพจากปัญหาของระบบหลักประกันด้านสุขภาพของคนไทยในปัจจุบันซึ่งมี 3 ระบบหลัก คือ ข้าราชการ ผู้ประกันตน และหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ยังไม่มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกัน คุณภาพการให้บริการที่แตกต่างกันมาก ดูได้จากค่าใช้จ่ายต่อหัวที่แตกต่างกันมาก

เมื่อประชาชนถึงวัยสูงอายุจะอยู่ใน 2 ระบบหลักคือ สวัสดิการรักษาพยาบาลในกลุ่มข้าราชการ และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งผลการศึกษาเชิงประจักษ์พบว่าผู้สูงอายุระยะสุดท้ายก่อนตาย 1 ปี ในกลุ่มข้าราชการมีค่าใช้จ่ายและการครองเตียงมากกว่าผู้สูงอายุในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามากกว่า 2 เท่า จำเป็นต้องแสวงหาทางเลือกการการจัดระบบอภิบาลที่ดีในระดับปฐมภูมิโดยร่วมกับท้องถิ่น

สำหรับความมั่นคงด้านรายได้ จากสัดส่วนผู้สูงวัยร้อยละ 35 พบว่ามี 73 % ของผู้สูงวัยที่ไม่มีหลักประกันด้านรายได้เลย และหากมองในแง่งบประมาณการอุดหนุนแก่ผู้สูงอายุในอีก 30 ปี อัตราเบี้ยยังชีพหรือภาระในส่วนนี้จะเพิ่มสูงขึ้น 5.6 เท่า ซึ่งเป็นภาระงบประมาณที่รัฐต้องดูแล และเมื่อมองในกลุ่มวัยแรงงานที่มีจำนวนน้อยลง ถือเป็นการสร้างภาระของวัยแรงงานในอนาคต

การศึกษานี้พยายามแสวงหาทางออก การหามาตรฐานการสนับสนุนให้เกิดการออมในทุกช่วงวัยเพื่อลดการพึ่งพาจากรัฐในอนาคต รวมทั้งการเร่งรัดการใช้กฎหมาย กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว

อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้สรุปว่า การสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเป็นธรรมจำเป็นต้องปรังปรุงทั้งในด้านคุณภาพของการศึกษา การจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ และการสร้างระบบการเรียนการสอนที่โรงเรียนและครูร่วมกันรับผิดชอบต่อผลการเรียนของเด็ก

การลดความเสี่ยงทางสังคมของคนวัยทำงานและวัยสูงอายุ จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ไม่ให้มีข้อยกเว้นการปฏิบัติกับแรงงานทุกสาขาอาชีพ และทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันการเจ็บป่วยเรื้อรังตั้งแต่อยู่ในวัยทำงาน แรงงานสูงอายุที่สุขภาพดีควรมีโอกาสในการทำงานที่นานขึ้น และควรส่งเสริมการออมของคนวัยทำงานเพื่อในอนาคต 30 ปีข้างหน้าจะมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น ควรมีการปฏิรูปกองทุนบำเหน็จบำนาญของแรงงานที่ดูแลโดยสำนักนักงานประกันสังคมให้มีความน่าไว้วางใจ และมีความมั่นคงในระยะยาว

ทุกๆ สวัสดิการที่ลดความเสี่ยงทางสังคมที่กล่าวมานี้จะต้องใช้ระยะเวลาในการทำงานเพื่อให้เห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ช้าเกินไปจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงและความเหลื่อมล้ำให้แก่ประชาชน เราไม่ควรรอให้ถึง 30 ปีข้างหน้าเมื่อเกิดปัญหาแล้วค่อยทำ แต่เราควรเริ่มการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้เห็นผลที่ดีในอีก 30 ปีข้างหน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น