การจัดการข้อมูลกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยและทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้แรงกดดันในงบประมาณที่จำกัด ความต้องการในการดึงข้อมูลที่รวดเร็วและง่ายดายขึ้น ด้วยการใช้งานสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ทที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถขององค์กรไทยที่จะป้องกัน จัดการและเข้าถึงข้อมูล
จากผลการวิจัยของไอดีซี ไวท์เปเปอร์ (IDC whitepaper) ที่คอมม์วอลท์ให้การสนับสนุน ในหัวข้อเรื่อง ‘การจัดการข้อมูลอย่างชาญฉลาดในยุคแพลตฟอร์มที่3 : การเข้าสู่การจัดการและปกป้องข้อมูลสำคัญแบบบูรณาการ’ พบว่า ร้อยละ 89 ของผู้ประกอบการไทยต้องการที่จะลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้อมูล แต่จากการสำรวจพบว่า องค์กรไทยส่วนใหญ่ยังไม่มีการปรับย้ายโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูล ซึ่งเป็นโซลูชั่นที่กำลังเกิดขึ้นในเอเชียแปซิฟิก เพื่อให้บริษัทสามารถจัดการกับการเติบโตของข้อมูลและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
มร.แดเนียล-โซอี้ ฮิเมเนซ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายโปรแกรมข้อมูล Big Data และการวิเคราะห์ การจัดการข้อมูลและแอพพลิเคชั่นที่เหมาะสมขององค์กร กล่าวว่า การบริหารจัดการข้อมูลยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดขององค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ Big Data และระบบคลาวด์
ทั้งหมดนี้ต้องการแนวทางใหม่ในการจัดการ การค้นหาและการวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งที่มาที่แตกต่างกัน การมีภาพรวมทั้งหมดของข้อมูลทุกรูปแบบ ทั้งในส่วนของแอพพลิเคชั่นของอุปกรณ์ต่างๆ ระบบปฏิบัติการและสถานที่เป็นสิ่งสำคัญ
๐ การจัดการข้อมูลไร้โครงสร้างที่มีขนาดใหญ่และปริมาณที่มากขึ้นในประเทศไทย
ทั้งทั่วโลก และเช่นเดียวกันกับในประเทศไทย ธุรกิจต่างๆ ถูกบังคับให้จัดการกับการเติบโตของข้อมูลจำนวนมาก โดยการปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดการข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย แม้ว่าการเติบโตของข้อมูลจะน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิก แต่การเพิ่มพูนของข้อมูลกลายเป็นเรื่องยากมากที่จะจัดการซึ่งมากกว่าประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียแปซิฟิก องค์กรไทยกำลังดิ้นรนหาวิธีการจัดเก็บ การเข้าถึงและเรียบเรียงข้อมูลของพวกเขา
จากผลการวิจัย บริษัทไทยทั้งหมดจัดเก็บข้อมูลไม่ว่าจะเป็นในฐานข้อมูล (ร้อยละ 58) หรือตามที่ต่างๆ ภายในสำนักงานของพวกเขา (ร้อยละ 42) มากกว่าหนึ่งในสาม (ร้อยละ 34) ขององค์กรไทยต้องค้นหาข้อมูลเพื่อดึงข้อมูลของตนจากแต่ละไซโลที่ถูกจัดเก็บในที่ที่แตกต่างกัน ขณะที่เพียงร้อยละ 17 ขององค์กรในส่วนอื่นๆ ของภูมิภาคต้องเผชิญกับความท้าทายนี้
นอกจากนี้ ร้อยละ 26 ขององค์กรไทย มีความยากลำบากในการเรียกข้อมูลเก่าที่มีอายุมากกว่าห้าปี ขณะที่ร้อยละ 21 ขององค์กรในประเทศ พบว่าเป็นการยากที่จะค้นหาข้อมูลของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อความร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อวัตถุประสงค์ในการกำกับการตามกฎระเบียบ หรือ eDiscovery ระบบจัดการเอกสารบนอินเทอร์เน็ต ที่สามารถสืบค้นข้อมูลต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน
๐ การเปิดรับกลยุทธ์การจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมใหม่ในด้านข้อมูล ผู้ประกอบการจะต้องกำหนดนโยบายที่ระบุว่าข้อมูลใดที่ควรจะเก็บไว้ หรือทิ้งไป และถ้าเก็บไว้ควรจะเก็บไว้ที่ใด องค์กรที่ใช้วิธีปฏิบัติการจัดการศูนย์กลางข้อมูลแพลตฟอร์มที่ 3 (Third platform-centric data management processes) ควรให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายแบ่งประเภทของแพลตฟอร์มข้อมูลในการจัดเก็บ มิฉะนั้น จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายอย่างมากมาย
"โดยทั่วไปจัดเก็บสำรองไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บบนแพลตฟอร์มสำรองมีแนวโน้มที่จะถูกเก็บไว้อย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันพื้นที่เก็บข้อมูลหลัก ได้รับการบริหารจัดการข้อมูลที่ดีกว่าตามลำดับชั้นความสำคัญของข้อมูล" สมุจจ์ ถนัดสร้าง ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท คอมม์วอลท์ ซิสเต็มส์ จำกัด กล่าว
นอกเหนือจากสิ่งซึ่งเป็นเรื่องยากมากสำหรับบริษัทต่างๆ คือ เรื่องการกู้ข้อมูล จัดเก็บข้อมูลในแหล่งเก็บข้อมูล และฐานข้อมูลที่หลากหลาย อีกทั้ง ยังมีค่าใช้จ่ายสูง บริษัทไทยสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนข้อมูลโดยการเพิ่มประสิทธิภาพลำดับชั้นการจัดเก็บและการใช้กลยุทธ์การจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า ความซับซ้อนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นในเรื่องการจัดการข้อมูลไร้โครงสร้างที่มีขนาดใหญ่และปริมาณที่มากขึ้นนั้นสร้างความกังวลให้แก่องค์กรไทยเป็นอย่างมาก องค์กรต่างๆ ไม่เพียงแต่เริ่มที่จะตระหนักถึงความสำคัญของการเก็บข้อมูล ผู้บริหารทางด้านสารสนเทศขององค์กรไทยยังเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลในอนาคตได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานที่จัดเก็บของแหล่งข้อมูล
ทั้งนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่งขององค์กรไทย หรือร้อยละ 53 ให้ความสำคัญต่อการสำรองข้อมูลที่ง่ายต่อการใช้งานและการกู้คืนข้อมูล เมื่อเทียบกับร้อยละ 32 ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ ร้อยละ 51 ขององค์กรไทยระบุว่า หนึ่งในแง่มุมที่สำคัญที่สุดของการสำรองข้อมูลและการกู้คืนข้อมูล คือความสามารถในการป้องกันและจัดการข้อมูลได้ทุกประเภท
การสำรวจยังพบว่าบริษัทไทย ร้อยละ 42 มีความกระตือรือร้นที่จะใช้โซลูชั่นแบบครบวงจร (end-to-end solution) ที่ช่วยให้การป้องกัน การจัดการและการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้จากแพลตฟอร์มเพียงหนึ่งเดียว
"ระบบปฎิบัติการเดียวของคอมม์วอลท์ (single platform) โซลูชั่นการจัดการข้อมูล ซอฟต์แวร์ซิมพาน่า (Simpana) สามารถช่วยตอบโจทย์ความต้องการด้านจัดการข้อมูลที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน องค์กรไทยตระหนักถึงประโยชน์ของระบบปฎิบัติการเดียว หรือ single platform”
“จะเห็นได้ว่าร้อยละ 77 ขององค์กรไทย รู้สึกได้ว่าพวกเขาสามารถปรับปรุงการจัดเก็บข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพในเครือข่ายและประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ด้วยแพลตฟอร์มเดียวแบบครบวงจร โดยการรวมศูนย์การดำเนินงานการจัดการข้อมูลจากแพลตฟอร์มเดียว แพลตฟอร์มแบบครบวงจร ความซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล เช่น เรื่องประสิทธิภาพในการป้องกัน การจัดเก็บแบบถาวร การเก็บข้อมูลซ้ำ การค้นหาและตำแหน่งของข้อมูล ความซับซ้อนเหล่านี้สามารถถูกกำจัดให้หมดไปได้"
ผลงานวิจัยอื่นๆ ของไอดีซีที่สนับสนุนโดยคอมม์วอลท์
๐ ร้อยละ 30 ของผู้ประกอบการไทยคาดการณ์ว่า ข้อมูลของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 - 50 ปีต่อปี ขณะที่ ร้อยละ 8 ของ ผู้ประกอบการไทยบางราย กลับอ้างว่าข้อมูลของพวกเขาเติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 50 ทุกๆ ปี
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะพบว่าร้อยละ 39 ของผู้ประกอบการในเอเชียแปซิฟิกคาดการณ์ว่า ข้อมูลของพวกเขาเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 20 - 50 ปีต่อปี และร้อยละ 17 ของผู้ประกอบการบางรายกล่าวว่าข้อมูลของพวกเขาเติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 50
มากกว่า 1 ใน 3 ของหน่วยงานไทยหรือร้อยละ 34 จำเป็นต้องกู้ข้อมูลจากแหล่งจัดเก็บข้อมูลหลายแห่งทั่วโลกเพื่อนำกลับมาใช้ ขณะที่ เพียงร้อยละ 17 ของหน่วยงานในส่วนอื่นๆ ของภูมิภาคที่เผชิญหน้ากับความท้าทายอันนี้
๐ ร้อยละ 26 ของหน่วยงานไทยมีความยุ่งยากในการดึงข้อมูลที่เก็บไว้นานเกิน 5 ปีอย่างรวดเร็ว (ร้อยละ 14 ในเอเชียแปซิฟิก) และร้อยละ 21 ขององค์กรในประเทศพบความยากลำบากในการหาข้อมูลของบริษัทอย่างรวดเร็วเพื่อวัตถุประสงค์ตามคำขอ การค้นหาข้อมูลอิเล็กทรอนิก (eDiscovery) หรือการกำกับดูแล (ร้อยละ 13 สำหรับเอเชียแปซิฟิก)
๐ ร้อยละ 15 ของหน่วยงานไทยคาดการณ์ว่า ข้อมูลขององค์กรร้อยละ 76 - 100 ได้รับการบันทึกในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ขณะที่มีเพียงร้อยละ 7 ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิกที่บันทึกข้อมูลถึงร้อยละ 76 - 100 ไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว
๐ บริษัทของไทยที่ได้รับการสำรวจทั้งหมด เก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูล (ร้อยละ 58) หรือในหลายๆ ที่ภายในสำนักงาน (ร้อยละ 42) ซึ่งสอดคล้องกับที่อื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิก แม้ว่าจะมีฐานข้อมูล (ร้อยละ 36) และหลายๆ ที่ (ร้อยละ 22) แต่หลายบริษัทในภูมิภาคก็ยังคงใช้ศูนย์กลางในการจัดเก็บข้อมูล (ร้อยละ 35) ซึ่งต่างจากประเทศไทย
๐ ร้อยละ 70 ของหน่วยงานไทยคาดการณ์ว่า ผู้ใช้งานแทบไม่เคยอัพโหลดข้อมูล หรือใช้พื้นที่คลาวด์ รวมทั้ง เว็บไซต์สำหรับแชร์ไฟล์ ขณะที่หน่วยงานในเอเชียแปซิฟิกก็คาดการณ์ในลักษณะเดียวกันโดยคิดเป็นร้อยละ 537
๐ ร้อยละ 69 ของหน่วยงานในประเทศกลุ่มอาเซียนตรวจจับการสื่อสารแบบโต้ตอบ แต่มีเพียงร้อยละ 52 ที่นำข้อมูลที่ได้รับมาวิเคราะห์ ร้อยละ 79 ของหน่วยงานในเอแพค มีระบบตรวจจับการสื่อสารแบบโต้ตอบ แต่มีเพียงร้อยละ 52 ที่นำข้อมูลที่ได้รับมาวิเคราะห์ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ สำหรับประเทศในกลุ่มอาเซียนและเอแพค มีวิดีโอที่ได้รับการตรวจจับโดยหน่วยงานถึงร้อยละ 45 อย่างไรก็ตามมีเพียงร้อยละ 29 ของหน่วยงานในภูมิภาคที่วิเคราะห์ข้อมูล
๐ ร้อยละ 81 ของบริษัทในเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมเพื่อประกอบการตัดสินใจ การวิเคราะห์ หรือเพื่อการวางแผนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง