xs
xsm
sm
md
lg

ทำงานไม่ก้าวหน้า ลูกน้องไม่รับฟัง โดย อ.อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อ.อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา กรรมการบริหาร บริษัท ออคิด สลิงชอท จำกัด
Q: ผมย้ายงานจากกรุงเทพมาอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งก็มาทำงานด้วยความคล่องตัวตามปกติที่เคยทำ แต่พอทำไปได้สักพัก มีผลงานมากก็เริ่มโดนแซวว่า งานน่ะไม่ต้องไปทำมันมากหรอก ที่นี่ไม่ดูที่ผลงานแต่ดูว่าอยู่สังกัดใครมากกว่าและ อื่นๆ อีกจิปาถะ ตอนนี้คิดอยากจะย้ายงาน ก็ย้ายไม่ได้แล้วครับ โดนแช่แข็งในตำแหน่งมาหลายปี โดยไม่จ่ายงาน ถึงแม้ว่าผมจะคอยช่วยแนะนำและ ดูแลลูกน้องอยู่ห่างๆ แต่ส่วนมากจะไม่เชื่อเพราะลูกน้องจบ ปวศ. และ ป.ตรี ในขณะที่ผมจบเพียงแค่ มศ.3 แต่พอมีปัญหาก็เรียกร้องให้ผมมาแก้ไขตลอด จนผมเบื่อคิดลาออกแล้วครับ อยากขอคำแนะนำอาจารย์ครับ ผมควรทำอย่างไรดี

A: ขอบคุณที่เขียนมาเล่าความอึดอัดในการทำงานให้ฟัง รู้สึกเห็นใจและเข้าใจ ในความรู้สึกนี้ อันที่จริงมีคนหลายคนที่ตกที่นั่งอย่างคุณ คือเรียนจบมาน้อย แม้จะทำงานดี แต่ก็ไม่ค่อยก้าวหน้า ประกอบกับไปอยู่ในที่ที่ไม่ได้สนับสนุน การตั้งอกตั้งใจทำงานเท่าที่ควรด้วยเหมือน "ผีซ้ำด้ามพลอย"

อันที่จริงก็ไม่รู้จะแนะนำยังไงนะครับ เพราะไม่ทราบรายละเอียดของงาน ไม่ทราบบริบทอื่นๆ ในการทำงาน รวมทั้งไม่ทราบนิสัยของหัวหน้าและ เพื่อนร่วมงาน คงมีสิ่งเดียวที่น่าจะแนะนำได้คือ คุณควรคิดและวางตัวอย่างไรให้มีความสุขมากขึ้นในการทำงาน

1. นำปัญหาเฉพาะสิ่งที่คุณควบคุมและแก้ไขได้มาคิด อย่านำปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไขหรือไม่อยู่ในอำนาจของคุณมาขบคิดให้เสียเวลา เปลืองสมอง จะทำให้ประสาทเสียเปล่าๆ มีฝรั่งคนหนึ่งชื่อสตีเฟน โควี่ (ท่านเสียชีวิตไปแล้ว) เคยทำวิจัยไว้ เพราะอยากศึกษาว่า คนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ พวกเขามีอุปนิสัยหรือทำอะไรที่เหมือนๆ กันบ้าง แล้วพบว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จในโลก มีอุปนิสัยที่เหมือนๆ กัน 7 อย่าง ท่านจึงนำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 7 Habits of Highly Effective People ซึ่งมีคนนำมาแปลเป็นภาษาไทยชื่อ "7 อุปนิสัยของผู้ที่ประสบความสำเร็จ" (หรืออะไรประมาณนี้ จำชื่อหนังสือไม่ได้ชัดเจน) หนึ่งเรื่องในหนังสือเล่มนั้นบอกว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จ จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเรื่องที่พวกเขาควบคุมได้ ในขณะที่ผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะใช้เวลาไปกับเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เช่น หากคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้น ตกอยู่ในสถานภาพอย่างคุณ พวกเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่คิดว่า "ฉันจะทำอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ ให้ฉันทำงานได้ดีและ มีความสุขกับการทำงาน" (โฟกัสที่ตัวเองว่าจะทำอย่างไร) ในขณะที่ผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จ จะใช้เวลาส่วนใหญ่คิดใคร่ครวญว่า "ทำไมหัวหน้าฉันถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมผู้บริหารระดับสูงไม่ลงมาดูแล ทำไมองค์กรถึงให้คนอย่างนี้ขึ้นมามีอำนาจได้" เป็นต้น (โฟกัสที่คนอื่น ซึ่งเราไม่มีอำนาจควมคุมหรือแก้ไข)

2. ไม่มีใครทำให้คุณรู้สึกสุขหรือทุกข์ได้ ความรู้สึกสุขหรือทุกข์ เกิดขึ้นจากคุณเอง คนอื่นอาจกลั่นแกล้ง รังแกคุณ ไม่ให้งานคุณหรือให้งานที่คุณไม่ชอบหรือไม่ถนัด ฯลฯ แต่เชื่อผมไหมครับ พวกเขาทำได้แค่นั้น พวกเขาไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกสุขหรือทุกข์กับมันได้ จนกว่าคุณจะนำเรื่องเหล่านั้นมาคิดและตีความ จากนั้นก็จะเริ่มสร้างความสุขหรือทุกข์ให้กับตัวเอง คิดอย่างนี้ดีกว่าไหมครับ คิดว่าเรามีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป ทำให้เต็มที่ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาจะชอบหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของเขา ทำงานเสร็จเราก็เอาเรื่องงานทิ้งไว้ที่ทำงาน อย่าลืมว่าเรายังมีชีวิตและสังคมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากงานด้วย เหตุใดต้องให้งานมาทำลายชีวิตส่วนที่เหลือของคุณ ทุกวันนี้ผมเชื่อว่าคุณก็มีภาระหรือเรื่องอื่นๆ ให้คิดให้รับผิดชอบมากอยู่แล้ว เหตุใดจะแบกความทุกข์จากที่ทำงานกลับไปเพิ่มอีกหล่ะ ถ้าคุณทำอย่างนี้ในแต่ละวันเหมือนคุณแบกก้อนหินก้อนใหญ่ๆ มาทำงานและแบกกลับบ้านทุกวัน เอามันทิ้งไว้ที่ทำงาน ดีไหมครับ

การเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นที่ตัวเอง หลายคนคิดอยากเห็นคนอื่นเปลี่ยนแปลง เชื่อผมคนอื่นไม่เปลี่ยนหรอกครับ เราเปลี่ยนตัวเองยังยากเลย เปลี่ยนคนอื่นยิ่งยากกว่าหลายเท่า เมื่อหลายเดือนก่อน มีอีเมล์ที่ส่งกันไปมา (Forwarded Mail) เล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง ผมว่าน่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเล่าต่อให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งมีฝรั่งคนหนึ่ง ขณะกำลังป่วยหนัก ก่อนที่จะตายได้เขียนเอกสารฝากญาติเอาไว้ บอกว่าหากตายแล้วให้นำข้อความนี้ไปพิมพ์แจกในงานศพด้วย สิ่งที่เขียนคือ

"ตอนผมเด็กๆ ผมคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงโลก แต่พอโตขึ้นได้เรียนหนังสือจึงเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงโลกทำได้ยาก จึงคิดว่าแค่เปลี่ยนแปลงประเทศได้ก็พอแล้ว

พอเรียนจบและเข้าทำงาน ก็เข้าใจเลยว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศ เป็นไปได้ยาก เอาแค่เปลี่ยนแปลงนิสัยของหัวหน้าในที่ทำงานได้ก็พอแล้ว

พอแต่งงานมีครอบครัว ก็เริ่มเปลี่ยนใจ เพราะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนิสัยของหัวหน้าคงเป็นไปได้ยาก เอาแค่เปลี่ยนแปลงนิสัยของภรรยาที่บ้านได้ก็พอแล้ว

พอมีลูก จึงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนิสัยภรรยา ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เอาแค่เปลี่ยนแปลงนิสัยของลูกก็แล้วกัน

ตอนนี้ ป่วยหนัก ใกล้จะตายแล้ว พบว่าในชีวิตนี้ยังเปลี่ยนใครไม่ได้เลย อันที่จริงถ้าตั้งแต่วันแรก ผมคิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง วันนี้หลายๆ อย่างและหลายๆ คนในชีวิตผม คงเปลี่ยนไป"

คนหลายคนเป็นอย่างนี้ครับ อยากเปลี่ยนคนอื่น แต่เชื่อผม แม้การเปลี่ยนแปลงตัวเองจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ง่ายกว่าเปลี่ยนแปลงคนอื่นมาก ดังนั้นลองคิดดูซิว่า มีความคิดหรือความเชื่ออะไรสักอย่างที่ถ้าคุณเปลี่ยนมันได้ ชีวิตน่าจะมีความสุขมากยิ่งขึ้น จากนี้ไปพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเปลี่ยนมันให้ได้ เพื่อโลกนี้และ สังคมรอบข้างของคุณจะได้เปลี่ยนไป ขอให้โชคดีนะครับ

อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
apiwut@riverorchid.com
กำลังโหลดความคิดเห็น