ภาพที่เห็นเบื้องหน้า เธอดุจดั่งไฮโซ ที่ใช้ชีวิตเลิศหรูอยู่กับคนดัง ราวกับตั้งแต่เกิดได้พบแต่ความโก้เก๋ มั่งคั่ง และอุดมไปด้วยความสุขล้วน แต่เบื้องหลังแล้ว “นงนุช นามวงศ์” เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป หลายครั้งมรสุมชีวิตก็พัดผ่านให้ต้องเจ็บปวด หากแต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังมีความสุขกับสิ่งรอบข้าง โดยเฉพาะ การให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น
นงนุชเกิดในเมืองเล็กๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ พ่อแม่เป็นชาวบ้านธรรมดา หากด้วยความสวยหวานตามแบบฉบับสาวเหนือ ทำให้เธอคว้าตำแหน่งนางงามจากเชียงใหม่ไปครอง และบนถนนความงามทำให้ได้พบกับ “ครูลำยงค์ บุณยรัตพันธุ์” เจ้าของห้องเสื้อระพี ซึ่งรักเอ็นดูถูกชะตาจนชวนไปเรียนตัดเสื้อในกรุงเทพฯ ก่อนจะก้าวมาเป็นประชาสัมพันธ์ให้กับ เดอะมอลล์กรุ๊ป จนกลายเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รักของคนในสังคม
นงนุชเล่าว่า ครอบครัวของเธอเป็นชาวบ้านธรรมดา พ่อต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว ส่วนแม่จะอยู่บ้านเลี้ยงลูก สอนทุกอย่าง การทำงาน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความกตัญญู รวมถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ลูกผู้หญิงควรทำ ตั้งแต่ทำกับข้าว กวาดบ้านถูบ้าน เลี้ยงน้อง
“เรื่องกตัญญูนี่ แม่จะย้ำมากๆ ไม่ให้ลืมพระคุณคน ถ้ามีโอกาสทดแทนให้รีบทำ และต้องทำด้วยความจริงใจ ไม่ต้องหวังอะไรตอบแทน แล้วทุกอย่างจะออกมาด้วยความสวยงามและบริสุทธิ์ คนเราจะสวยต้องมาจากข้างใน หากทำเพียงผิวเผินทำได้ไม่นานแน่ มีเรื่องนึงที่พี่จำได้แม่น ตอนนั้นยังเด็ก ที่บ้านมีขนมอร่อย แล้วคนที่เขาไม่มีกินเขาแย่กว่าครอบครัวเรามาเห็นแล้วขอแม่ แม่พี่ก็ให้เขาทันที ทั้งที่ลูกๆ ยังไม่ได้กินเลย เรื่องนี้แม่ไม่ได้สอนโดยตรง แต่แม่จะทำให้เห็น ซึ่งพี่ก็จำว่าแม่ทำแบบนี้นะ คนที่ได้รับเขาก็ดีใจ ทางเราเองสบายใจ ตรงนี้มันติดใจติดตัวพี่มาตลอด”
และความกตัญญูที่ถูกปลูกฝังมา นงนุชยึดมั่นไม่เคยละเลยเอาใจใส่ผู้มีพระคุณ และด้วยความเป็นคนอ่อนน้อม ทำให้เธอกลายที่รักของลำยงค์ ต่อมาได้มีโอกาสรู้จักกับ เจ้ากอแก้ว ประกายกาวิล ที่มาตัดชุดที่ห้องเสื้อระพีเป็นประจำ และด้วยความที่เป็นคนเหนือเหมือนกัน เจ้าป้าจึงเอ็นดูและให้ความสนิทเป็นพิเศษ
“พี่มามีชื่อเสียงตรงนี้ได้ ก็เพราะอาจารย์ลำยงค์ กับเจ้าป้าทั้ง 2 ท่านเป็นเหมือนแม่ พี่ และเพื่อน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด สอนพี่ทุกเรื่อง ทั้งมารยาท การพูดจา การแต่งตัว และการเข้าสังคม ตอนที่อาจารย์ลำยงค์กับเจ้าป้าไม่สบาย พี่ดูแลจนวาระสุดท้าย พี่ทำทุกอย่างเต็มที่ด้วยความเต็มใจ”
หลังสูญเสียผู้มีพระคุณในชีวิตแล้ว นงนุชก็หันมาโหมงานอย่างหนัก เมื่อชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ นงนุชเผชิญความเศร้าอีกครั้งเมื่อแม่ต้องมาล้มเจ็บ แม้จะดูแลแม่อย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังอดเสียใจไม่ได้ “เวลาที่เรามีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างพ่อแม่ก็จากไปหมดแล้ว อย่างพ่อเสียตอนพี่อายุ 10 กว่าขวบ ส่วนแม่ยังพอได้ดูแลบ้างแต่ไม่เต็มที่ เพราะแม่อยู่เชียงใหม่ พี่ทำงานที่กรุงเทพฯ ถ้าว่างก็รีบขึ้นไปหาไปอยู่กับแม่เป็นอาทิตย์ ความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่ พี่บอกได้เลยว่าไม่ใช่แค่เอาเงินทองไปให้ พ่อแม่ทุกคนอยากเห็นลูกมีความสุขอยากมีความสุขกับลูก ตอนแม่ป่วยหนักพี่ทำห้องนอนให้แม่เหมือนห้องพยาบาล เตียงนอนแบบไหนว่าดีหาให้แม่ทันที น้องต้องออกจากงานมาสลับกันดูแลแม่ เพราะเขารู้ว่างานพี่เยอะ แต่เราจะโทร.คุยกันตลอด ส่งเสียงให้แม่ได้ยิน พี่มีโอกาสดูแลแม่ 5 ปี ท่านก็จากไป” นงนุชกล่าว
เมื่อเสียแม่แล้วนงนุชก็รับหน้าที่ดูแลน้องๆ ต่อมา และมีความสุขกับการทำงาน จนเมื่อปีที่ผ่านมามรสุมชีวิตลูกใหม่ก็พัดผ่านเธออีกครั้ง เมื่อสามีอันเป็นที่รักก็มาเสียชีวิต และเพียงไม่นานก็ต้องมาเสียน้องชายไปอีก
“แฟนพี่นุชเสีย พี่ไม่ทันได้ดูแลเลย วันนั้นจำได้ว่าตอนขับรถกลับบ้าน ป๋าก็โทร.มาถามอยู่ที่ไหน งานเยอะหรือเปล่าแล้วจะกลับมาทานข้าวไหม พี่ก็บอกว่ากลับ อยู่บนทางด่วนแล้ว ป๋าบอกจะรอพี่ แต่พอมาถึงบ้านพบป๋านอนอยู่ พี่ร้องไห้เลย คือเราเพิ่งคุยกันเมื่อกี๊เอง ตอนนั้นพี่ต้องตั้งสติ แต่ตอนหลังก็ปลง คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ตอนนี้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หากใครเดือดร้อนช่วยได้พี่จะช่วย ให้ได้พี่จะให้ ถ้าว่างก็ไปทำบุญที่วัดให้พ่อ-แม่ ผู้มีพระคุณ และเจ้ากรรมนายเวร”
ในวันนี้ ถึงแม้นงนุชจะมีวัยถึง 67 ปี แต่ด้วยการดูแลสุขภาพตนเองอย่างมีวินัย ทำให้ยังสามารถดูแลงานต่างๆที่อยู่รอบตัวในแต่ละวันได้อย่างดี โดยฝากของคิดว่า ก่อนที่เราจะดูแลใครให้ดี ต้องดูแลตัวเราให้พร้อมทั้งกายและใจ ก่อน" และนั่นคือเคล็ดลับที่ทำให้นงนุช นามวงศ์ ผู้หญิงธรรมดาที่สร้างตนเองด้วยสองมือและใจ จนไม่ธรรมดา ในสังคม