ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ฝนตกต่อเนื่อง เขื่อนอุบลรัตน์มีน้ำไหลเข้าจำนวนมาก ทำให้ต้องเพิ่มการระบายน้ำสูงสุด 30 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน หลังจากนั้นจะประเมินว่าจะลดหรือเพิ่มการระบายอีกครั้ง
วันนี้ (24 ก.ย.) นายชาญณรงค์ จันทมงคล ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าพลังน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือเขื่อนอุบลรัตน์ เปิดเผยว่า ตามที่พายุดีเปรสชัน หนองฟ้า ได้พาดผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนาแน่นเกือบตลอดเดือนกันยายน ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนอุบลรัตน์ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม ถึงวันที่ 22 กันยายน 2568 เท่ากับ 1,501 ล้าน ลบ.ม.
ในขณะที่กรมอุตนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 25-30 กันยายน 2568 จะมีร่องมรสุมเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้มีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
โดยในวันที่ 23 กันยายน 2568 อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์มีระดับเก็บกักที่ 180.30 ม.รทก. มีปริมาตรน้ำเก็บกัก 1836.18 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 75.52 ของความจุอ่าง
ปริมาณน้ำไหลเข้า 51 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำระบาย 24 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งปริมาตรน้ำสูงกว่าเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำหลาก ( Flood Control Rule Curve)
ซึ่งตามที่ประชุมศูนย์อำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2568 มีมติให้ กฟผ. เขื่อนอุบลรัตน์ ปรับการระบายน้ำในอัตราไม่เกิน 35 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ทั้งนี้ ปริมาณการระบายน้ำให้ประสานงานกับสำนักชลประทานที่ 6 และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ภาค 3 เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางด้านท้ายเขื่อน
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดตามที่ประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำชี ครั้งที่ 8/2568 ประชุมเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 มีมติเห็นชอบให้ กฟผ. เขื่อนอุบลรัตน์ ปรับการระบายน้ำในอัตราไม่เกิน 30 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน มีผลตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนเป็นต้นไป การระบายน้ำเพิ่มเป็นขั้นบันไดวันละ 1.5 ล้าน ลบ.ม. ในวันที่ 26 กันยายน จะเป็นการระบายสูงสุดที่ 30 ล้าน ลบ.ม. ทั้งนี้ ปริมาณการระบายน้ำดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมลำน้ำพองแต่อย่างใด เพราะความจุลำน้ำน้ำพองด้านท้ายเขื่อน 35 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน หรืออัตราการไหล 400 ลบ.ม.ต่อวินาที
และในช่วงสิ้นเดือนกันยายนนี้จะมีการประชุมเพื่อประเมินปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์อีกครั้ง หลังจากนั้นถึงจะวางแผนได้ว่าควรจะระบายน้ำในปริมาณเพิ่มขึ้นหรือลดลง