ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน แจ้งว่า วันนี้ได้ปรับเพิ่มการระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท จาก 2,100 ลบ.ม./วินาที เป็น 2,200 ลบ.ม./วินาที เนื่องจากแม้จะบริหารจัดการน้ำโดยหน่วงน้ำไว้หน้าเขื่อน พร้อมรับน้ำเข้าระบบชลประทานสองฝั่งในพื้นที่เหนือเขื่อนอย่างเต็มศักยภาพ ก็ยังจำเป็นต้องระบายจากเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่ม เนื่องจากเป็นเส้นทางที่จะระบายน้ำเหนือออกทะเลได้เร็วที่สุด เพื่อให้พร้อมรองรับฝนที่จะตกลงมาเพิ่มในระยะนี้
สำหรับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี ปริมาณน้ำกักเก็บ 667.70 ล้าน ลบ.ม. (คิดเป็น 69.55% ของความจุ) น้ำไหลลงอ่าง 628.89 ลบ.ม./วินาที หรือ 54.33 ล้าน ลบ.ม./วัน เนื่องจากมีฝนตกที่ต้นน้ำใน จ.เพชรบูรณ์ แล้วไหลลงสู่เขื่อน ดังนั้นจึงต้องเพิ่มระบายน้ำ 300.54 ลบ.ม./วินาที หรือ 25.96 ล้าน ลบ.ม./วัน จากนั้นวันพรุ่งนี้เตรียมปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็น 350 ลบ.ม./วินาที เพื่อควบคุมปริมาณน้ำในอ่างให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย โดยการระบายดังกล่าว ระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักด้านท้ายเขื่อนจะยังอยู่ในลำน้ำไม่ล้นตลิ่ง
สำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากกำลังเผชิญ 3 ปัจจัยเสี่ยงพร้อมกัน ได้แก่
1. น้ำเหนือ – ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนป่าสักฯ เพิ่มสูงขึ้น
2. น้ำทะเลหนุน – จะเกิดภาวะน้ำทะเลหนุนสูง จนถึงวันที่ 22 กันยายน โดยเฉพาะในช่วงน้ำขึ้น อาจส่งผลให้น้ำระบายลงทะเลได้ช้าลง
3. น้ำฝน – ร่องมรสุมยังพาดผ่านภาคกลางของประเทศไทย ทำให้มีฝนตกเพิ่มขึ้น และ อาจตกหนักถึงหนักมากบางแห่งอย่างน้อยถึงต้นเดือนตุลาคม
ก่อนหน้านี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ประชุมทุกหน่วยงานเพื่อเน้นย้ำถึงการบริหารจัดการน้ำในช่วงนี้จะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่างสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงและการเตรียมการรับมือฝนที่จะตกมาเพิ่มในช่วงถัดไปด้วย โดยคาดการณ์ว่า การก่อตัวของพายุในทะเลจีนใต้จะส่งผลกระทบให้เกิดฝนตกหนักในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงยังคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้เร่งระบายน้ำลุ่มเจ้าพระยาลงสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด
สถานการณ์น้ำในแหล่งกักเก็บน้ำล่าสุด พบว่าหลายแห่งมีปริมาณน้ำมาก ได้แก่ อ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำ 78% ของความจุเก็บกัก เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำ 88% ของความจุเก็บกัก เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนมีปริมาณน้ำ 83% ของความจุเก็บกัก ป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำ 69% ของความจุเก็บกัก เขื่อนอุบลรัตน์มีปริมาณน้ำ 72% ของความจุเก็บกัก ในขณะที่พื้นที่หน่วงน้ำได้แก่ พื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำมีปริมาณน้ำ 91% ของความจุเก็บกัก และบึงบอระเพ็ดมีปริมาณน้ำ 121% ของความจุเก็บกัก
สทนช. ยังให้พิจารณาแนวทางการพร่องน้ำออกจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างรองรับปริมาณฝนชุดถัดไปและรักษาความปลอดภัยของอ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ภูมิพล สิริกิติ์ อ่างฯ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ โดยให้วางแผนปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันได เพื่อลดผลกระทบพื้นที่ท้ายเขื่อน อีกทั้งให้มีการแจ้งเตือนประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานและประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบรับทราบล่วงหน้าเพื่อเตรียมการรองรับได้ทัน นอกจากนี้ ยังได้ขอให้กรมชลประทานเตรียมความพร้อมพื้นที่ลุ่มต่ำหน่วงน้ำทั้ง 10 ทุ่งในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยหน่วงชะลอน้ำเพิ่มเติมในระยะถัดไปด้วย