ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ภาคเอกชนโคราชบุกยื่นหนังสือผู้ว่าฯ ถึงรัฐบาล ค้านนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ ซัดนโยบายหาเสียงขายฝันสัญญาว่าจะให้ทำภาคธุรกิจพัง ย้ำรัฐบาลควรสร้างเศรษฐกิจให้ดีขึ้น จากการบริหารงาน มากกว่าการเอาเงินอีกฝ่ายไปโยนให้ประชาชน
วันนี้ (10 ก.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายสุดที่รัก พันธ์สายเชื้อ ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย นางธิดารัตน์ รอดอนันต์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา นางบังอร วรฉัตร ประธานสมาคมธนาคารไทย จังหวัดนครราชสีมา และภาคเอกชนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เดินทางเข้าพบ นายสุรพันธ์ ศิลปะสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เพื่อหารือและยื่นหนังสือถึง นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เพื่อคัดค้านการปรับค่าแรงขั้นต่ำ เป็น 400 บาททั่วประเทศ โดยมีจัดหางานจังหวัด สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด จัดหางานจังหวัด ร่วมรับหนังสือ
นายสุดที่รัก พันธ์สายเชื้อ ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จังหวัดนครราชสีมา อันประกอบด้วย หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา สมาคมธนาคารไทย จังหวัดนครราชสีมา ได้มีการประชุมพิจารณาผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ
โดยพบว่าเป็นนโยบายการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำในระดับที่สูงเกินกว่าพื้นฐานสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และยังมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ติดต่อกัน 2 ครั้งภายในปีเดียว (พ.ศ. 2567) ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ การลงทุนภายในจังหวัดนครราชสีมา ตลอดจนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนการขนส่ง ต้นทุนการบริการ และต้นทุนการจ้างงานทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะภาคเกษตร ภาคการค้าและบริการ ภาคท่องเที่ยว และผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่ยังคงมีความเปราะบางจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน และมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาการใช้แรงงานค่าจ้างขั้นต่ำเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้น การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในระดับที่สูงเกินไป โดยไม่มีการรับฟังความเห็นรอบด้านจะส่งผลกระทบให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการจะต้องปิดกิจการ ลดขนาดกิจการ นำไปสู่การเลิกจ้างแรงงานเพื่อลดต้นทุนให้อยู่รอด เกิดสภาวะการว่างงานเพิ่มขึ้นในที่สุด
นายสุดที่รักกล่าวอีกว่า กกร.จังหวัดนครราชสีมามีข้อเสนอและความเห็นต่อนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ 5 ข้อ ประกอบด้วย 1. กกร.จังหวัดนครราชสีมา เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ของแรงงานไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแต่การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี ควรปรับตามที่กฎหมายบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
2. กกร.จังหวัดนครราชสีมาไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ แต่ควรใช้กลไกจากคณะอนุกรรมการค่าจ้างไตรภาคีจังหวัดพิจารณาอัตราจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด เสนอต่อคณะกรรมการค่าจ้าง(ไตรภาคี) กลาง เป็นผู้พิจารณาให้สอดคล้องกับปัจจัยทาง เศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ อัตราเงินเฟ้อ อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และประสิทธิภาพของแรงงาน
3. การปรับอัตราจ้างควรพิจารณาจากทักษะฝีมือแรงงาน ( Pay By Skills) ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเพียงอัตราค่าจ้างของแรงงานแรกเข้าที่ยังไม่มีฝีมือ ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมมาตรการทางภาษี ลดอุปสรรคต่อการ พัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการและแรงงานให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity)
4. การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ควรให้มีการรับฟังความคิดเห็นและศึกษาถึงความพร้อมของแต่ละพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ รวมทั้งควรให้มีการหารือร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และใช้กลไกจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่หรือประเภทธุรกิจเช่นกัน
และ 5. นอกเหนือจากการยกระดับรายได้ของแรงงานแล้ว ภาครัฐควรเข้ามาดูแลค่าครองชีพในการดำรงชีพของแรงงาน เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ภาคแรงงานและประชาชน เช่น ราคาอาหารสำเร็จรูป และสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึง ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างความสมดุลด้านรายได้และค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพให้แรงงานให้สอดคล้องตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ด้าน นายชัยวัฒน์ วงศ์เบญจรัตน์ รองประธานชมรมรถโดยสารประจำทางจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นระบบประชาธิปไตย มีระบบหาเสียง แต่จะทำอย่างไรที่จะกำหนดหรือควบคุมไม่ให้การหาเสียงเป็นไปในรูปแบบของคำว่าสัญญาว่าจะให้โดยที่ไม่ศึกษาผลกระทบล่วงหน้าก่อนที่จะเข้ามาทำงาน ไม่ใช่เข้ามาศึกษาในโอกาสที่ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลหรือได้เข้ามาทำงานแล้ว ซึ่งเมื่อมีการสัญญาจึงจำเป็นที่จะต้องมีความพยายามที่จะทำให้ได้ แต่ความพยายามนั้นอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศ
ภาคเอกชนจึงไม่เห็นด้วยหรือไม่สนับสนุนนโยบายที่จะเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ที่เป็นการเอาเงินอีกฝ่ายไปให้อีกฝ่าย แต่เราจะสนับสนุนสัญญาที่จะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นจากความสามารถของรัฐบาล เช่น การบริหารจากภาษีหรือการบริหารจากกฎหมายที่มีที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น เราสนับสนุนให้รัฐบาลใช้ความสามารถแบบนั้นมากกว่า