xs
xsm
sm
md
lg

กรมชลประทาน และ สทนช.เตรียมประชุมถกแก้ปัญหาโครงการสร้างอุโมงค์ผันน้ำช่วยภัยแล้ง จ.กาญจน์อีกรอบ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กาญจนบุรี - กรมชลประทาน และ สทนช.เตรียมประชุมถกแก้ปัญหาโครงการสร้างอุโมงค์ผันน้ำช่วยภัยแล้ง จ.กาญจน์ อีกครั้งต้น มี.ค. หลังร่วมลงพื้นที่จุดก่อสร้างปากอุโมงค์วานนี้
 
จากกรณีกรมชลประทาน และสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)ได้ศึกษาความเหมาะสมโครงการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง อ.ห้วยกระเจา อ.เลาขวัญ อ.บ่อพลอย อ.หนองปรือ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวนั้นเป็นพื้นที่เงาฝน หรือ rain shadow จึงมีปริมาณฝนตกน้อยมาก การศึกษาความเหมาะสมโดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่จะผันน้ำปีละ 378 ล้านลูกบาศก์เมตร เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อเดือนเมษายน 2564
 
สำหรับโครงการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์มี 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำจากแม่น้ำแควใหญ่ บริเวณตำบลวังด้ง ไปอ่างเก็บน้ำลำอีซู (ขยาย) ขนาดอุโมงค์ 4.20 เมตร ความยาว 20.500 กิโลเมตร อัตราผันน้ำวันละ 1.036 ล้าน ลบ.ม. พร้อมวางคลองส่งน้ำไปพื้นที่รับประโยชน์ฝั่งตะวันตกของลำตะเพิน ในเขตอำเภอบ่อพลอย
 
ระยะที่ 2 โครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำอีซู (ขยาย) ถึงบ่อพักน้ำหลุมรัง ท่อส่งน้ำเหล็กเหนียว ขนาด 2.50 เมตร ความยาว 14.195 กิโลเมตร ระยะที่ 3 โครงการก่อสร้างบ่อพักน้ำหลุมรังขนาด 651 ไร่ ความลึกน้ำ 4.00 เมตร ความจุบ่อพักน้ำ 3.70 ล้าน ลบ.ม.
 
และระยะที่ 4 โครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำจากบ่อพักน้ำหลุมรังไปพื้นที่รับประโยชน์ ประกอบด้วยคลองสายหลักเป็นคลองดาดคอนกรีตยาว 94.165 กิโลเมตร และท่อส่งน้ำสายซอยจำนวน 42 สาย ระยะทางรวมกัน 314 กิโลเมตร
 
โดยเมื่อวันที่ 29 ม.ค.67 นายชยันต์ เมืองสง รองเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้มีหนังสือเชิญให้ผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมลงพื้นที่บริเวณหัวงานดำเนินโครงการขุดเจาะปากอุโมงค์ที่หน่วยพิทักษ์ป่าแม่ละมุ่น รวมทั้งดูแนวรั้วไฟฟ้าป้องกันช้างป่าแนวเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ และดูพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำลำอีซู หัวงานปลายอุโมงค์ และพื้นที่จัดการวัสดุปลายอุโมงค์ ในวันที่ 13 ก.พ.2567 โดย 1 ในนั้นมีมูลนิธิสืบนาคะเสถียร รวมอยู่ด้วย
 
วันนี้ (14 ก.พ.) นายภาณุเดช เกิดมะลิ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เปิดเผยว่า วานนี้ (13 ก.พ.) ผมพร้อมด้วย น.ส.อรยุพา สังขะมาน เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ลงพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ตามคำเชิญของกรมชลประทาน และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อมูลตามที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร มีข้อคัดค้านโครงการอุโมงค์ผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์เพื่อบรรเทาภัยแล้งในพื้นที่ด้านตะวันออกของ อ.บ่อพลอย พื้นที่ อ.ห้วยกระเจา และ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี
 
สทนช.เสนอจะผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์ ไปตามท่อส่งน้ำที่เป็นอุโมงค์ ขนาด 4.20 เมตร เจาะทะลุจากหน่วยพิทักษ์ป่าแม่ละมุ่นด้านตะวันตก ผ่านกลางป่าสลักพระ ระยะทางประมาณ 20.53 กม. ไปออกที่หน่วยพิทักษ์ป่าลำอีซู ซึ่งอยู่ด้านตะวันออก โดยการดำเนินโครงการจะต้องระเบิดเปิดพื้นที่หัวงานและท้ายงานเพื่อติดตั้งเครื่องเจาะด้านละประมาณ 50 ม. ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน จากนั้นจึงใช้เครื่องเจาะผ่านใต้พื้นที่ป่าสลักพระซึ่งเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนตอนบนของตัวทุ่งนามอญพื้นที่อยู่อาศัยสำคัญของสัตว์ป่า ระยะเวลาเตรียมการ 2 ปี ก่อสร้างประมาณ 5 ปี 
 
เบื้องต้นมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ให้ความเห็นในการหารือครั้งนี้ 3 ประเด็น คือ 1.มูลนิธิสืบ ไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาคัดเลือกทางเลือกในการดำเนินโครงการดังกล่าว ซึ่งเดิมกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เคยเสนอให้โครงการศึกษาทางเลือกที่เหมาะสมและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผืนป่าสลักพระ โดยพิจารณาเลือกเส้นทางอ้อมลงด้านล่างของเขตสลักพระ แม้ ฃระยะทางเพิ่มมากขึ้น แต่จะลดผลกระทบกับสัตว์ป่าในพื้นที่ได้
 
2.ข้อกังวลที่กิจกรรมการก่อสร้างจะกระทบต่อสัตว์ป่าในพื้นที่ เนื่องจากปัจจุบันสัตว์ป่าในเขตสลักพระ มีการฟื้นฟูประชากรสัตว์ป่าโดยธรรมชาติเอง และการปล่อยสัตว์ป่าที่เคยมีอยู่ให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ เช่น ละมั่ง วัวแดง จนเกิดความอุดมสมบูรณ์ จากการมีส่วนร่วมการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ช่วยสนับสนุน และประชาชนในพื้นที่มาช่วยกันดูแลพื้นที่กับเจ้าหน้าที่ของเขตสลักพระ
 
ซึ่งด้านบนของเขตสลักพระ ติดกับเขตห้ามล่าสัตว์ป่าศรีสวัสดิ์ อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ และอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ เชื่อมต่อกับป่าทุ่งใหญ่ ห้วยขาแข้งทางด้านบน ทำให้มีสัตว์ป่าเดินทางเคลื่อนย้ายไปมาในผืนป่าตะวันตกตอนล่างแห่งนี้อย่างเช่น เสือโคร่ง ช้างป่า กระทิง
 
กิจกรรมการระเบิดและขุดเจาะใต้ดินอาจจะส่งผลต่อสัตว์ป่า รวมถึงจะเพิ่มปัญหาสัตว์ป่าเช่น ช้างที่จะออกไปนอกพื้นที่ป่าจนเป็นปัญหากับชุมชนบริเวณนั้นมากขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทที่ปรึกษาร่วมกับ สทนช.ได้ช่วยให้ข้อมูลและตอบข้อซักถามครั้งนี้เป็นอย่างดี เข้าใจถึงความพยายามจะลดผลกระทบต่อผืนป่าและสัตว์ป่าในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
 
และ 3.แต่เนื่องจากยังมีประเด็นข้อคิดเห็นต่าง รวมถึงข้อเสนอแนะ ที่ต้องใช้เวลารวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลให้ชัดเจน มูลนิธิสืบจึงเสนอให้มีการประชุมร่วมกับผู้แทนกรมอุทยานฯ เพื่อนำข้อมูลมาแลกเปลี่ยนอีกครั้ง เช่น มิติความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ การพัฒนาทางเลือกในการจัดการน้ำและการทำเกษตรที่เหมาะสมในพื้นที่ โดยเบื้องต้นนัดหมายกันที่ สทนช. ต้นเดือน มี.ค.นี้
 
สำหรับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของประเทศไทย ประกาศเมื่อปี 2508  พื้นที่รวมประมาณ 536,594 ไร่ เป็นหนึ่งในกลุ่มพื้นที่อนุรักษ์ที่ต่อเนื่องกันเป็นป่าผืนใหญ่ที่เรียกว่า ผืนป่าตะวันตก










กำลังโหลดความคิดเห็น