เนื้อหมูเป็นโปรตีนยอดนิยมประเภทหนึ่งของคนไทย มีอัตราการบริโภคอยู่ที่ประมาณ 21 กิโลกรัม/คน/ปี ประเทศไทยต้องผลิตหมูให้เพียงพอต่อการบริโภคที่ประมาณ 19-20 ล้านตัว/ปี โดยมีห่วงโซ่การผลิตหมูพอสังเขป ดังนี้
กลุ่มแรก : ประกอบด้วย เกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ >> พ่อค้าพืชไร่ >> โรงงานอาหารสัตว์ >> เอเย่นต์อาหารสัตว์ >>
กลุ่มนี้ถือเป็นต้นน้ำของการเลี้ยงหมู โดยเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รำข้าว มันสำปะหลังล้วนอยู่ในกลุ่มนี้หมด เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผู้ปลูกข้าวโพดจะขายข้าวโพดให้แก่พ่อค้าพืชไร่นำไปกำจัดความชื้น แล้วรวบรวมขายให้โรงงานอาหารสัตว์ จากนั้นโรงงานอาหารสัตว์จะกระจายสินค้าผ่านเอเยนต์เพื่อส่งต่ออาหารสัตว์ไปเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู ในขั้นตอนวัตถุดิบอาหารสัตว์นี้ถือเป็นต้นทุนหลักของการเลี้ยงหมู คิดเป็นสัดส่วนถึง 65%
กลุ่มถัดมา : เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู >> โบรกเกอร์ / ผู้ซื้อหมูเป็น >> โรงเชือด >>
จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูของไทยในช่วงเวลาปกติ คาดการณ์กันว่ามีอยู่ราว 2 แสนราย ในขั้นตอนของการเป็นเกษตรกรเลี้ยงหมู ต้องมีลูกหมูสายพันธุ์ดี แข็งแรง เป็นผลผลิตตั้งต้นให้เกษตรกร จากนั้นยังต้องมีโรงเรือนที่ดี มีระบบป้องกันโรคที่เข้มงวด ที่สำคัญต้องเข้าสู่ฟาร์มมาตรฐานกรมปศุสัตว์ เพื่อให้ทุกปัจจัยส่งเสริมผลการเลี้ยงที่ดี ได้มาตรการอาหารปลอดภัยตามข้อกำหนดของรัฐ
เมื่อได้หมูขุนตามขนาดที่ตลาดต้องการแล้ว จะมีโบรกเกอร์ หรือพ่อค้าคนกลางเข้ามาซื้อหมูเป็น หรือหมูมีชีวิต ซึ่งห่วงโซ่ขั้นนี้มีบทบาทมากในการให้ราคาหน้าฟาร์มกับเกษตรกร อาจจ่ายตามประกาศราคาหรือกดราคาให้ต่ำกว่านั้น ก็แล้วแต่การเจรจาต่อรองกัน หลังจากนั้นจะนำหมูเป็นเข้าโรงชำแหละ แล้วนำชิ้นส่วนเนื้อหมูเข้าสู่กระบวนการขาย
กลุ่มสุดท้าย : จุดจำหน่ายร้านค้าส่ง >> จุดจำหน่ายร้านค้าปลีก/ตลาดสด/เขียง >> ร้านอาหาร >> ผู้บริโภค
ในขั้นตอนของการขายจะเหมือนสินค้าทั่วไป เมื่อหมูถูกชำแหละเป็นชิ้นส่วนแล้วจะมีการขนส่งเข้าสู่ศูนย์ค้าส่งขนาดใหญ่ ตลาดค้าส่ง แล้วกระจายสู่ร้านค้าปลีก เขียง ร้านอาหาร และถึงมือผู้บริโภคในที่สุด
“หมูไทย” น่าจะเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี หากไม่เกิดสถานการณ์อันตรายที่ทำลายวิถีชีวิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและทำให้ห่วงโซ่การผลิตนี้สั่นคลอน
เหตุปัจจัย “หมูเถื่อน” ทะลักไทย
ปี 2564-2565 ประเทศไทยประสบปัญหาโรคระบาด ASF ดังเช่นอีกหลายประเทศทั่วโลก ที่ส่งผลให้ทั้งแม่พันธุ์หมูและหมูขุนทั่วประเทศได้รับความเสียหายไปกว่าครึ่ง แม่พันธุ์หมูราว 1.1 ล้านตัว เหลือเพียง 6 แสนตัว หมูขุนจาก 21 ล้านตัว เหลือเพียง 14 ล้านตัว ส่วนต่างหมูขุนที่หายไปหลายล้านตัวส่งผลให้ราคาหมูสูงขึ้นอย่างมาก แต่ราคาหมูขยับสูงขึ้นตามกลไกตลาดได้ไม่นานก็กลับลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่รอบการเลี้ยงหมูยังไม่ใช่เวลาที่หมูจะโตทันความต้องการของตลาด
นั่นเป็นเพราะมี “ขบวนการหมูเถื่อน” เกิดขึ้น จากฝีมือนายทุน ชิปปิ้ง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลร่วมกันกระทำการผิดกฎหมาย ลักลอบนำเข้าหมูจากต่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาล หลายพันตู้คอนเทนเนอร์ หรือหลายล้านกิโลกรัม รวมถึงการนำเข้าด้วยกองทัพมดตามตะเข็บชายแดน กระจายสู่ทุกภูมิภาคทั่วไทยอย่างรวดเร็ว จำหน่ายในราคาต่ำกว่าหมูไทยเกือบครึ่ง เป็นเหตุให้หมูไทยถูกกดดันราคาอย่างหนักและเข้าสู่ภาวะขาดทุนทันที
หมูเถื่อนส่วนใหญ่มีต้นทางอยู่ในประเทศแถบอเมริกาใต้และยุโรป ซึ่งล้วนมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าหมูไทย เนื่องจากประเทศเหล่านั้นเป็นแหล่งเพาะปลูกธัญพืชอันดับต้นๆ ของโลก มีการปลูกพืชในลักษณะเกษตรแปลงใหญ่ ให้ผลผลิตต่อไร่สูง มีสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวย ขณะที่ไทยใช้พืชไร่ภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าแปลงใหญ่ในแถบตะวันตก เมื่อผนวกกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลไทยพยายามอุ้มชูเกษตรพืชไร่ในประเทศ จึงทำให้ราคาวัตถุดิบเหล่านี้สูงกว่าในตลาดโลก เป็นภาระให้คนเลี้ยงหมูต้องแบก และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ต้นทุนการผลิตหมูไทยสูงกว่าหมูเถื่อนอย่างชัดเจน
ขณะที่บางชิ้นส่วนประเทศตะวันตกไม่รับประทาน เช่น เครื่องใน หนัง หัว ราคาก็ยิ่งต่ำลงอีก อีกทั้งหมูเถื่อนยังหลบเลี่ยงภาษีศุลกากรโดยการสำแดงเท็จ เมื่อบวกลบคูณหารกับการจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ขบวนการดังกล่าวยังเห็นกำไรอีกมหาศาล “หมูเถื่อน” จึงเกลื่อนเมืองมาตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา
ล่าสุด จากการสอบสวนขยายผลการจับกุมหมูเถื่อน 161 ตู้คอนเทนเนอร์ที่แหลมฉบัง พบหลักฐานว่าขบวนการนี้ขนหมูเถื่อนเข้าไทยตั้งแต่ปี 2564-2566 รวมแล้วถึง 2,385 ใบขน จนป่านนี้ยังไม่มีใครทำการสอบสวนว่าใบขนทั้งหมดนี้เป็นของบริษัทใด มีเส้นทางการเงินอย่างไร จนอดกังวลไม่ได้ว่าจะกลายเป็นหลักฐานที่สูญเปล่า เพราะความล่าช้าของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งๆ ที่หมูเถื่อนกำลังอยู่ในความสนใจของสังคม
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
• กระทบต่อเกษตรกรไทย : การที่หมูเถื่อนเข้ามาเป็นจำนวนมากจนสามารถกดดันราคาหมูไทยให้ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ส่งผลให้เกษตรกรไทยแบกรับภาระขาดทุนต่อเนื่อง หลายรายตัดสินใจเลิกอาชีพเลี้ยงหมู และหากเกษตรกรปศุสัตว์ล่มสลาย เกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่อีกนับล้านครัวเรือนก็อยู่ไม่ได้ รวมถึงทุกคนในห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดจะหายไปจากระบบด้วยเช่นกัน
• กระทบต่อผู้บริโภค : หมูเถื่อนทั้งหมดเป็นหมูที่ไม่ผ่านการตรวจสอบสารปนเปื้อน มีหลายครั้งที่ตรวจพบ “สารเร่งเนื้อแดง” ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เพราะหมูส่วนใหญ่มาจากประเทศที่อนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงได้ นอกจากนี้ หมูทั้งหมดยังถูกชำแหละมานานกว่า 1-2 ปี เสี่ยงต่อการหมดอายุและขึ้นรา ไม่สามารถนำมาบริโภคได้อย่างปลอดภัย และอาจกระทบสุขภาพของประชาชนชาวไทยในระยะยาว เกิดเป็นปัญหาทางสาธารณสุขให้ต้องแก้กันอีกนาน
• กระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจ : ทุกประเทศล้วนจัดให้หมูเป็นสินค้าควบคุม มีกฎหมายคุ้มครองปกป้องการประกอบอาชีพเกษตรกรของเขา เป็นความมั่นคงทางอาหารที่ทุกประเทศพึงมี ประเทศไทยก็เช่นกัน จึงห้ามนำเข้าชิ้นส่วนหมูจากต่างประเทศ ขณะที่ไทยได้ชื่อว่าเป็นครัวของโลก มีมาตรการด้าน Food Safety มากมาย ทั้งยังสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ จนกล่าวได้ว่า กระบวนการผลิตหมูของไทยดีที่สุดในภูมิภาคและดีที่สุดในโลกด้วยซ้ำ
• กระทบต่อความมั่นคงของชาติ : การปล่อยให้ขบวนการหมูเถื่อนกัดกินผลประโยชน์ชาติมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ตอกย้ำว่าประเทศนี้ยังเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งในวงราชการ วงการการเมือง วงการธุรกิจ จนกฎหมายเอื้อมไม่ถึง เสถียรภาพด้านธรรมาภิบาลตลอดจนภาพลักษณ์เช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อความมั่นคงของประเทศเลย
แนวทางแก้ไขที่สำคัญที่สุดคือ การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันในขบวนการหมูเถื่อนให้สิ้นซาก อย่าให้เหลือเชื้อไฟที่จะก่อติดขึ้นมาทำลายประเทศได้อีก รัฐต้องกวาดล้างหมูผิดสุขลักษณะและอันตรายเหล่านี้ให้หมดไปจากประเทศ นอกจากนี้ ยังต้องเร่งจัดวางระบบในทุกๆ ขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิต เช่น การปรับโครงสร้างราคาพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ การยกเลิกมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่างๆ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและตรวจสอบย้อนกลับ การยกระดับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และต้องมองไกลไปในเวทีโลกด้วยการสนับสนุนการปลูกพืชอาหารสัตว์ตามมาตรฐาน GAP โดยไทยต้องร่วมลดการก่อให้เกิดคาร์บอนในทุกห่วงโซ่การผลิตอาหาร และเดินหน้าสู่ความยั่งยืนของทุกภาคส่วนให้ได้
“หมูเถื่อน” เป็นปรากฏการณ์สำคัญที่บอกว่าประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ต้องให้ความสำคัญกับคนในชาติ ไม่ทำร้ายเกษตรกรผู้ผลิตอาหาร ไม่บั่นทอนผู้ประกอบการภายในประเทศให้ต้องลดระดับการวิจัยพัฒนา ไม่ทำลายความมั่นคงของประเทศ ด้วยการจ้องแต่จะนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนมาเบียดเบียนตลาดภายใน และไม่ทำร้ายประชาชนด้วยการยัดเยียดสารพิษตกค้างในหมูเถื่อนมาให้รับประทาน แต่ควรหันมาใส่ใจว่า หมูคุณภาพดี สะอาด ถูกสุขอนามัยและปลอดภัยนั้นเป็นอย่างไร การไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดงเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคนั้นสำคัญแค่ไหน และนี่คือสิ่งที่ทำให้ “หมูไทย” ที่เลี้ยงโดยเกษตรกรไทยนั้นดีที่สุดสำหรับเราทุกคน
บทความโดย สมคิด เรืองณรงค์ นักวิชาการอิสระ