กำแพงเพชร - ชาวไร่อ้อยเคลื่อนไหวแล้ว..ลงมติปิดโกดังทั่วประเทศ ห้ามนำน้ำตาลทรายโควตาชาวไร่ออกจำหน่าย สวนนโยบาย พณ.กำหนดเป็นสินค้าควบคุม ส่ออดขึ้นราคากิโลฯ ละ 4 บาทตามมติ สนอ. จี้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือให้ชัด-ทวงเงินรัฐค้างจ่าย 8,000 ล้านซ้ำ
วันนี้ (1 พ.ย. 66) นายมนตรี เลาหศักดิ์ประสิทธิ์ นายกสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 6 ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนกรณีคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้น้ำตาลทรายเป็นสินค้าควบคุม เพื่อป้องกันการกำหนดการขึ้นราคาหรือราคาจำหน่ายหรือกำหนดเงื่อนไขปฏิบัติอันไม่เป็นธรรมและกำกับดูแลสินค้าน้ำตาลทรายให้มีราคาที่เป็นธรรมและมีปริมาณเพียงพอ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอ
ซึ่งก่อนหน้านี้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สนอ.) ได้มีการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายบริสุทธิ์หน้าโรงงาน กิโลกรัมละ 4 บาท ทำให้ราคาน้ำตาลทรายขายปลีกขยับขึ้นตาม
นายมนตรีกล่าวว่า ที่จริงแล้วการปรับขึ้นราคาน้ำตาล 4 บาทเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น เป็นมติของคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล (กน.) ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าสถานการณ์น้ำตาลโลกในปัจจุบันมีราคาที่สูงกว่าประเทศไทยมาก ขณะที่เราจำหน่ายน้ำตาลที่กิโลฯ ละ 20-23 บาท แต่ราคาของตลาดโลกจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 40-50 บาท
และเมื่อประมาณปี 2560/2561 ประเทศไทยถูกประเทศบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของโลกร้องในเรื่องของราคาน้ำตาลของประเทศไทย ที่รัฐบาลได้เข้าไปอุดหนุนช่วยเหลือชาวไร่ จนทำให้เกิดผลกระทบต่อการจำหน่ายน้ำตาลในตลาดโลก รัฐบาลจึงได้ปล่อยให้ราคาอ้อยและน้ำตาลลอยตัวมา 3-4 ปี ส่งผลให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยต้องแบกรับภาระการขาดทุนมาโดยตลอด
วันนี้การปรับราคาน้ำตาล 4 บาทนั้น เป็นการแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ แบ่งให้กับกองทุนน้ำตาล 2 บาท และอีก 2 บาท เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่แบกรับปัญหา โดยเฉพาะต้นทุนการผลิตหรือการปลูกอ้อยมีต้นทุนสูงมาเป็นเวลานาน
นายกสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 6 กำแพงเพขรยังกล่าวต่ออีกว่า หากเราไม่มีการปรับตัวตามที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลมีมติออกมา ขณะที่เพื่อนบ้านใกล้เคียงเรานั้นมีราคาน้ำตาลทรายสูงกว่าของประเทศไทย ก็จะส่งผลให้น้ำตาลทะลักออกสู่ประเทศเพื่อนบ้านแบบผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกองทัพมดที่พร้อมจะลักลอบส่งออกน้ำตาลเหล่านี้ไปสู่ประเทศที่บริโภคน้ำตาลแพงกว่าประเทศไทย อนาคตน้ำตาลภายในประเทศก็จะขาดตลาดทันที
“วันนี้ เราได้มีการพูดคุยใน 4 องค์กรหลักได้แก่ สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย, ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน, สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ได้สรุปกำหนดมาตรการขั้นเด็ดขาดด้วยการปิดโรงงานผลิตน้ำตาลทั่วประเทศ พร้อมกันในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2566 ไม่ยอมนำน้ำตาลในส่วนของเกษตรกรชาวไร่อ้อยในสัดส่วน 70% ออกจากโรงงาน เพราะหากจำหน่ายไปแล้วเราก็จะขาดทุน ส่วนน้ำตาลที่เหลืออีก 30% ที่เป็นโควตาของโรงงานก็จะปล่อยเป็นเรื่องโรงงานเราไม่ยุ่งเกี่ยวหากจะปล่อยไปจำหน่าย”
นายมนตรีบอกว่า การปิดโรงงานน้ำตาลครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำตาลในฤดหีบอ้อย แต่เป็นการปิดเพื่อให้รัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ตอบถึงแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรในส่วนเงิน 2 บาท ให้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร ประการที่สอง เงินจำนวน 8,000 ล้านบาทที่จะช่วยเหลือการตัดอ้อยปี 2565/66 ตันละ 120 บาทที่ค้างจ่ายเกษตรกรชาวไร่อ้อยจะทำเช่นไร
ซึ่งการปิดโกดังในครั้งนี้ถือเป็นมาตรการขั้นเด็ดขาดจนกว่าจะได้ข้อสรุปแนวทางการช่วยเหลือจากรัฐบาลที่ชัดเจน
ทั้งนี้ หลังจากเสร็จสิ้นแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนแล้วนายกสมาคมชาวไร่อ้อยเขต 6 ได้เปิดห้องประชุมกับคณะกรรมการบริหารของสมาคมชาวไร่อ้อยเพื่อกำหนดมาตรการและแบ่งหน้าที่ในการเคลื่อนไหวประสานโรงงานเพื่อปิดโกดังน้ำตาลโควตาสมาคมชาวไร่อ้อยไม่ให้ออกสู่ตลาดทันที