เชียงใหม่ - ตำรวจแกะรอยเส้นทางเงินบัญชีม้าหลายชั้น ก่อนตามรวบแล้ว 6 ล่าอีก 14 มิจฉาชีพทั้งไทย-ต่างชาติ ลวงหญิงวัยเกษียณแม่ริมลงทุนผ่านแอปฯ MJINTONG แถมหลอกให้หาสมาชิกเหมือนแชร์ลูกโซ่ สูญเงินถึง 5.2 ล้านบาท ก่อนพบร่างถูกเผาเสียชีวิตข้างบ้านพัก
วันนี้ (24 ต.ค. 66) พล.ต.ต.กฤตธาพล ยี่สาคร รรท.ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่, ผกก.สภ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว กรณีพบร่างผู้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ทราบภายหลังคือ นางยุพิน พงศ์จำรัส อายุ 63 ปี ลักษณะศพถูกไฟไหม้เกรียมบริเวณร่างกายและพบศพอยู่บริเวณติดกับกำแพงหลังบ้านพักของตนในพื้นที่แม่ริม เมื่อ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ก่อนระบุสาเหตุการตายนั้น
ภายหลังการสืบสวนสอบสวนพบร่องรอยและพยานหลักฐานปรากฏในโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิต ว่าผู้เสียชีวิตได้ถูกหลอกลวงจากกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ให้โอนเงินเพื่อร่วมลงทุน โดยได้รับผลตอบแทนเป็นเงินจำนวนมากผิดปกติ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ "MJINTONG" แต่ไม่ได้รับเงินตามที่ถูกหลอกลวง จนเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายจากการโอนเงินตั้งแต่เดือนสิงหาคม รวม 15 ครั้ง เป็นเงินจำนวนกว่า 5,200,000 บาท
รรท.ผบช.ภ.5 จึงได้สั่งการให้เร่งรัดทำการสืบสวนสอบสวนและปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน พร้อมกับให้นำตัวผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนทำการสืบสวนขยายผลและกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.แม่ริม ให้ดำเนินคดีต่อกลุ่มเครือข่ายผู้ร่วมกระทำความผิด
เมื่อทำการสืบสวนสอบสวนพบว่าคดีดังกล่าวเป็นการหลอกลวงให้ผู้เสียชีวิตโอนเงินร่วมลงทุน, โอนเงินทำภารกิจเพื่อรับผลตอบแทนและโอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษจากแพลตฟอร์มออนไลน์ "MIJINTONG" อาทิ เติมเงินครั้งแรก 30,000 บาท รับรางวัล 899 บาท และเป็นการหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งยังมีการหลอกลวงและจูงใจให้ผู้เสียหายชักชวนบุคคลอื่นให้มาร่วมลงทุน CYBER ในลักษณะแชร์ลูกโซ่เพื่อเลื่อนระดับชั้นของรหัสสมาชิก และได้รับค่าคอมมิชชันในจำนวนที่สูงขึ้น (ซึ่งไม่มีอยู่จริง) รวมถึงมีการโน้มน้าวใจให้ผู้เสียหายโอนเงินเพิ่มมากขึ้นเพื่อต่อรหัสสมาชิก และรับเงินกำไรที่ได้จากการลงทุน ซึ่งถ้าหากไม่ทำการโอนเงินรหัสสมาชิกจะหมดอายุ
ผู้เสียหาย (ผู้เสียชีวิต) ได้ถูกหลอกลวงในลักษณะเช่นนี้เรื่อยมา และหลงเชื่อโอนเงินให้แก่กลุ่มคนร้าย กระทั่งมารู้ภายหลังว่าถูกหลอกลวง ซึ่งการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวนี้เป็นการหลอกลวงในรูปแบบผสมผสานไม่ว่าจะทั้งการหลอกให้ร่วมลงทุน, หลอกให้ทำภารกิจ, หลอกให้หารายได้พิเศษ หรือแม้กระทั่งการหลอกลวงในลักษณะแชร์ลูกโซ่ซึ่งหากผู้เสียหายทำการชักชวนผู้อื่นมาลงทุนด้วยก็อาจเป็นเหตุให้ถูกหลอกลวงให้ตกเป็นผู้ต้องหาได้เช่นกัน
จากการสืบสวนพบว่าผู้เสียหายได้ถูกหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายในชั้นที่ 1 และเงินถูกโอนต่อไปยังบัญชีชั้นที่ 2 จำนวนทั้งสิ้น 21 บัญชี มีผู้ต้องหา 21 ราย แบ่งเป็นบัญชีชั้นที่ 1 จำนวน 10 บัญชี และเงินถูกโอนต่อไปยังบัญชีชั้นที่ 2 จำนวน 11 บัญชี อีกทั้งยังมีเงินของผู้เสียหายบางส่วนถูกโอนไปยังบัญชีชั้นที่ 3 ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม
พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้กระทำความผิดที่ปรากฎทั้งหมด จำนวน 20 ราย ผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย 1 ราย ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2566 ศาลจังหวัดเขียงใหม่ได้อนุมัติหมายจับผู้ร่วมกระทำความผิดในคดีทั้งหมด
ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ร่วมกันฟอกเงินและความผิดตามพระราชกำหนด มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี" โดยผู้ต้องหาแบ่งเป็นกลุ่มบัญชีชั้นที่ 1 ประกอบไปด้วยคนไทย จำนวน 10 ราย, กลุ่มบัญชีชั้นที่ 2 ประกอบไปด้วยคนไทย จำนวน 7 ราย และคนต่างชาติ จำนวน 3 ราย รวมทั้งสิ้น จำนวน 20 ราย
และวันนี้ (24 ต.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีมาทำการสืบสวนขยายผลและนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 6 ราย แบ่งเป็น กลุ่มบัญชีชั้นที่ 1 ซึ่งเป็นคนไทย จำนวน 3 ราย และกลุ่มบัญชีชั้นที่ 2 จำนวน 3 ราย (แบ่งเป็นคนไทย 2 ราย, คนต่างชาติ 1 ราย)
ส่วนของผู้ต้องหาตามหมายจับที่อยู่ระหว่างหลบหนีอีก 14 รายนั้น จะได้ดำเนินการระดมกำลังและติดตามจับกุมผู้ต้องหามาสืบสวนขยายผลและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป