ท่าขี้เหล็ก - ส่องกระแสการเปลี่ยนแปลง “ท่าขี้เหล็ก” หัวเมืองชายแดนต้นทาง R3b พบตลอด 10 กว่าปี ทุนจีน-ว้า-ไทยแห่ลงทุนสร้างตึกสูง-โรงแรมกาสิโน-KTV (Karaoke Television) เกลื่อนทั่วเมือง ขณะที่บางส่วนเหมือนโอเกะโลกีย์ด้วย
ขณะนี้หัวเมืองชายแดนพม่า ต้นทางถนนสาย R3b อย่าง “ท่าขี้เหล็ก” ซึ่งอยู่ติดกับ อ.แม่สาย มีการก่อสร้างอาคารสูงไม่เกิน 10 ชั้นกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยอาคารพาณิชย์ หอพัก ที่อยู่อาศัย โรงแรม
และที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในรอบ 10 ปีมานี้คือธุรกิจ KTV (Karaoke Television) ซึ่งมีมากกว่าความเป็น KTV ที่รู้จักกัน เพราะนอกจากจะให้บริการเปิดห้องให้ลูกค้าเข้าร้องเพลงคาราโอเกะ ยังมีสาวๆ คอยให้บริการด้านต่างๆ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ยาเสพติด จนถึงขั้นให้บริการทางเพศหรือค้าประเวณี
ทุกวันนี้ KTV มีให้เห็นทั้งในโรงแรมใหญ่ๆ และผับบาร์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม 1G1 สถานประกอบการของกลุ่มม้าบิน โรงแรมว้า 9 ชั้น Space complex นอกจากนี้ยังพบเห็นการก่อสร้างอาคารและ KTV แห่งใหม่ๆ อยู่ทั่วไปใน จ.ท่าขี้เหล็ก บางโรงแรมสร้าง KTV เป็นอาคารแยกออกมาแต่อยู่ในบริเวณเดียวกัน เพราะ KTV ไม่ใช่ที่พักโรงแรมแต่เป็นสถานบันเทิงที่มีเสียงดัง ซึ่งอาจรบกวนผู้เข้าพักตามปกติ
ปัจจุบันโรงแรมหลายแห่งใน จ.ท่าขี้เหล็กจึงคึกคักไปด้วยผู้คนที่เดินทางเข้าออกเพื่อนอนพัก เล่นการพนันในกาสิโน และเที่ยว KTV ซึ่งจะเปิดให้บริการแบบ 24 ชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน ด้านหน้าอาคาร KTV จึงมีนักเที่ยวและผู้หญิงที่ให้บริการใน KTV สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าออกตลอดเวลา
ตัวอย่างโรงแรม 1G1 อันเลื่องชื่อเรื่องการมีหญิงไทยไปทำงานใน KTV จะมีห้องพักในอาคารโรงแรมเพียง 70 ห้อง ราคาพักคืนละ 1,800-4,500 บาท แต่ชั้นบนดัดแปลงเป็นกาสิโน และมีส่วนแยกอาคารด้านหน้าเป็น 1G1-7 ที่สร้างเป็น KTV โดยเฉพาะ ทำให้มีหญิงสาวที่ทำงานภายในเดินทางเข้าออกสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่เป็นหญิงชาวไทย ไทใหญ่ ฟิลิปปินส์ ผู้ไปใช้บริการ
แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ใน จ.ท่าขี้เหล็ก กล่าวว่า ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีมานี้ ตัวเมืองท่าขี้เหล็กเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะมีกลุ่มทุนโดยเฉพาะจากประเทศจีน ไทยพากันเข้าไปลงทุนในกิจการต่างๆ อย่างหลากหลาย จนในปัจจุบันประชากรในระบบของตัวเมืองท่าขี้เหล็กมีอยู่ประมาณ 120,000 คน แต่มีประชากรแฝงอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวจีนที่มีทั้งจดทะเบียนอยู่อย่างถูกต้องและลักลอบไปอาศัยอยู่อย่างผิดกฎหมาย
และก่อให้เกิดธุรกิจ KTV ในพื้นที่แล้วมากกว่า 50 แห่ง ไม่รวมผับ บาร์ สถานบันเทิงอื่นๆ ที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดรองรับนักเที่ยวจากจีนและไทยเป็นหลัก ซึ่งพากันไปเที่ยวทั้งวันทั้งคืน โดยกรณีของคนไทยนั้นส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มที่หนีคดีอาญามาจากฝั่งประเทศไทย และไปอาศัยอยู่ใน จ.ท่าขี้เหล็ก แล้วยังมักจะก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันเองโดยบางครั้งถึงขั้นใช้ปืนออกมายิงต่อสู้กัน
รายล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2566 นี้ เมื่อมีคนไทยหลายคน หนึ่งในนั้นได้หลบหนีคดีอาญาจากฝั่งไทยไปซ่อนตัวอยู่บริเวณสถานบันเทิงใน จ.ท่าขี้เหล็ก และก่อเหตุทะเลาะกับคนไทยด้วยกันก่อนใช้อาวุธปืนพกสั้นกราดยิงคนอื่นๆ จนได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 ราย ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่พม่าได้จับกุมดำเนินคดีไปแล้วหลายราย แต่ธุรกิจ KTV ยังเติบโตเพราะอยู่ควบคู่กับโรงแรม กาสิโน ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผับ บาร์
โดยเฉพาะการมีกลุ่มทุนจีน-ว้า ที่เข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง และมีลูกค้าชาวจีน-ไทยไปใช้บริการไม่หยุดหย่อน ลูกค้าแต่ละรายพอใจที่จะใช้บริการใน KTV และยินดีจะจ่ายเงินค่ามีหญิงสาวเข้าให้บริการคนละตั้งแต่ 3,000 บาท ไปจนถึงหลัก 100,000-200,000 บาท แล้วแต่ระดับหรือเกรดของหญิงสาวคนนั้นๆ จนบางครั้งบางคนได้รับการยกย่องให้เป็นดาว KTV ที่มีค่าตัวนับแสนบาท
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ KTV ท่าขี้เหล็ก โด่งดังมาตั้งแต่ก่อนวิกฤตโควิด-19 แม้ต่อมาจะมีการปิดชายแดนไทย-พม้า แต่ก็ปรากฏเรื่องอื้อฉาวของหญิงสาวไทยที่ลักลอบข้ามแดนไปมาโดยไม่เกรงกลัวการแพร่ระบาดของโควิดมาแล้ว