เชียงใหม่ - เหยื่อ “เจ๊เปิ้ล” หลอกขายที่ดินทิพย์ ทั้งคนไทยและต่างด้าวกว่า 200 คน เสียหายหลายร้อยล้านบาท รวมตัวร้องขอความเป็นธรรมเร่งรัดตำรวจติดตามจับกุมตัวให้ได้โดยเร็วหลังมีการออกหมายจับนานแล้ว ขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ลั่น ลากตัวมาดำเนินคดีให้ได้ภายใน 15 วัน พร้อมอายัดทุกบัญชีธนาคารและตรวจสอบเส้นทางการเงินละเอียดยิบเพื่อนำเงินมาคืนให้ผู้เสียหาย
วันนี้ (12 มิ.ย. 66) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มผู้เสียหายประมาณ 200 คน ทั้งที่เป็นคนไทย และคนต่างด้าว ทั้งเมียนมาและไทใหญ่ รวมตัวกันเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ พลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และพลตำรวจตรี ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เร่งรัดติดตามจับกุมตัว “เจ๊เปิ้ล” นางพิชามญชุ์ กับสามี ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับแล้ว จากการร่วมกันก่อเหตุหลอกลวงให้กลุ่มผู้เสียหายหลงเชื่อซื้อที่ดินจัดสรรในพื้นที่อำเภอสารภี, อำเภอแม่ริม, อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน โดยให้ผ่อนระยะยาวแบบไม่มีดอกเบี้ย และให้สามารถเข้าทำประโยชน์ได้ภายใน 3 เดือนหลังจากที่เริ่มผ่อน แต่ปรากฏว่าไม่เป็นไปตามที่ตกลง และตรวจสอบพบว่าที่ดินที่ผู้ต้องหานำมาแบ่งขายทั้งสิ้นประมาณ 12 โครงการนั้น แท้ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นของผู้ต้องหาแต่อย่างใด ซึ่งทำให้มีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อหลายร้อยราย มูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้มีการแจ้งความดำเนินคดีในหลายท้องที่และมีการออกหมายจับแล้ว แต่ปรากฏว่าจนถึงทุกวันนี้ยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้เสียที
ทั้งนี้ นายนัตถ์ธนินทร์ สินเพ็ญ อายุ 51 ปี แกนนำกลุ่มผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เบื้องต้นจากการรวบรวมผู้เสียหายเฉพาะในส่วนที่มีเอกสารหลักฐานพบว่ามีจำนวนมากถึงประมาณ 500 ราย และมูลค่าความเสียหายเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท โดยพฤติการณ์ของผู้ต้องหาสองสามีภรรยาคู่นี้นั้นจะไปหลอกซื้อที่ดินจากคนในพื้นที่ โดยวางเงินมัดจำทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้ประมาณ 5-10% แล้วจากนั้นเอาสำเนาโฉนดที่ดินแปลงนั้นไปแบ่งจัดสรรที่ดินเป็นแปลงๆ หลอกขายให้ผู้เสียหาย โดยเฉพาะการแจ้งว่าคนต่างด้าวสามารถซื้อได้ด้วย โดยขั้นตอนการซื้อขายนั้น ให้จ่ายค่าทำสัญญา 5,000 บาท แล้ววางเงินดาวน์ 40% ภายใน 1 สัปดาห์ จากนั้นผ่อนโดยตรงกับโครงการแบบไม่มีดอกเบี้ยเป็นงวดระยะเวลา 36 เดือน และสามารถเข้าทำการก่อสร้างในที่ดินได้ภายใน 3 เดือน
แต่ปรากฏว่าเมื่อได้เงินจากผู้เสียหายแล้วกลับไม่นำไปจ่ายให้เจ้าของที่ดิน ทำให้ผู้เสียหายไม่มีสิทธิหรือสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ใดๆ ในที่ดินได้ รวมทั้งพบด้วยว่าต่อมาที่ดินหลายแปลงตามโครงการนั้นได้มีการเปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว และยังพบด้วยว่าที่ดินหลายแปลงที่มีการนำมาแบ่งแปลงขายนั้น มีการขายซ้ำให้แก่ผู้เสียหายหลายรายด้วย ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความในหลายพื้นที่และมีการออกหมายจับแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่สามารถจับกุมตัวมาดำเนินคดีได้ ดังนั้นในวันนี้ทางกลุ่มผู้เสียหายจึงได้รวมตัวกันเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมให้เร่งรัดจับกุม พร้อมทั้งขอแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมกับกลุ่มพนักงานขายหรือเซลส์ของโครงการ เนื่องจากมีหลักฐานเชื่อได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องรู้เห็นกับการหลอกลวง
ขณะที่หญิงสูงอายุรายหนึ่งที่เป็นผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตัวเองพร้อมพี่น้องรวม 3 คน หลงเชื่อรวมตัวกันซื้อที่ดินในโครงการของผู้ต้องหารายนี้ที่อำเภอสันกำแพง จำนวน 4 แปลง เนื่องจากเห็นที่ตั้งโครงการอยู่ในทำเลที่ดี และการนำเสนอขายดูน่าเชื่อถือ โดยตั้งใจว่าจะใช้ปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัยด้วยกันในช่วงบั้นปลายของชีวิต ซึ่งได้ผ่อนไปแล้วเป็นระยะเวลา 5 เดือน รวมเงินทั้งสิ้นกว่า 530,000 บาท แต่พบความผิดปกติว่าพื้นที่โครงการไม่มีการพัฒนาใดๆ และถูกปล่อยรกร้าง จึงติดตามทวงถามและขอยกเลิกสัญญา พร้อมขอเงินคืน ซึ่งทางเจ้าของโครงการได้คืนเงินให้เป็นเช็ค แต่ไม่สามารถนำไปขึ้นเงินได้ จึงรู้ว่าถูกหลอกและเข้าแจ้งความไว้แล้ว โดยหลังจากนี้ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีให้ได้และนำเงินมาคืนให้ตัวเอง เพราะตอนนี้เดือดร้อนมาก เนื่องจากเงินดังกล่าวที่สูญเสียไปเป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่เก็บมาทั้งชีวิต
นอกจากนี้ หญิงสาวชาวไทใหญ่ สัญชาติเมียนมา ซึ่งเป็นผู้เสียหายอีกรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ตกลงซื้อที่ดินจากโครงการของผู้ต้องหารายนี้ 1 แปลง พื้นที่ 50 ตารางวา เนื่องจากพนักงานขายของโครงการแจ้งว่าคนต่างด้าวสามาถซื้อที่ดินโครงการนี้ได้ เพียงแต่ต้องให้ลูกที่เกิดในเมืองไทยมีอายุ 20 ปีจึงจะสามารถโอนที่ดินได้ ซึ่งตอนที่ซื้อลูกของตัวเองอายุ 18 ปีแล้ว จึงตกลงซื้อหวังให้เป็นมรดกของลูก ที่ผ่านมาผ่อนจ่ายไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 130,000 บาท กระทั่งมาทราบว่าถูกหลอก ซึ่งที่ผ่านมายังไม่ได้เข้าแจ้งความ เนื่องจากก่อนหน้านี้ปรึกษาคนรู้จักแล้วบอกว่าตัวเองเป็นคนต่างด้าวไม่สามารถแจ้งความได้ แต่ทราบว่าผู้เสียหายมีการรวมตัวกันและเข้าร้องขอความเป็นธรรมในครั้งนี้ จึงได้เข้าร่วมด้วย เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักเพราะเงินที่ผ่อนไปต้องไปหยิบยืมมาจนเป็นหนี้สิน ซึ่งนอกจากตัวเองแล้วยังมีเพื่อนชาวต่างด้าวที่ตกเป็นผู้เสียหายเช่นเดียวกันอีกจำนวนมาก
ด้านพลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า รับทราบความเดือดร้อนของผู้เสียหายแล้ว พร้อมทั้งมอบหมายให้พลตำรวจตรี วีรชน บุญทวี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และพลตำรวจตรี ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับคดีนี้อย่างเร่งด่วนที่สุด ซึ่งคาดว่าน่าจะมีผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความเพิ่มอีกกว่า 200 ราย เบื้องต้นให้ทำการสืบสวนสอบสวนและอายัดบัญชีธนาคารของผู้ต้องหายรายนี้ทั้งหมด พร้อมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียดเพื่อติดตามเงินมาคืนให้ผู้เสียหาย ทั้งนี้ ในการติดตามจับกุมผู้ต้องหานั้น เวลานี้ผู้ต้องหาไม่ได้อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ยังไม่ได้หลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งจะเร่งจับกุมตัวให้ได้ภายใน 15 วัน นอกจากนี้เตรียมสืบสวนดำเนินคดีต่อพนักงานขายที่เป็นลูกน้องของผู้ต้องหาด้วยอีกกว่า 10 ราย เนื่องจากน่าจะมีส่วนรู้เห็นและยังมีการนำรูปแบบวิธีการเดียวกันไปใช้หลอกลวงเหยื่อรายใหม่เพิ่มอีกในหลายโครงการตามพื้นที่ต่างๆ
รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงบ่ายวันนี้ทางกลุ่มผู้เสียหายจะเดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรมกรณีเดียวกันนี้ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ด้วย