บุรีรัมย์ - หนุ่มไปรษณีย์นางรอง จ.บุรีรัมย์ วอนต้นสังกัดและผู้รู้กฎหมายช่วยเหลือ หลังโดนลูกค้าแจ้งความและบังคับเซ็นรับผิดชอบชดใช้ค่าพัสดุมีดหมอ ปลัดขิกงาช้าง เกจิดังสูญหายระหว่างนำส่ง ค่ากว่า 2 แสน โอดเพิ่งทำงานแค่ 7 เดือนไม่รู้จะหาเงินไหนไปจ่าย สุดงงไม่รู้พัสดุล่องหนไปไหน ด้านลูกค้ายันแจ้งความตามหลักฐานและให้ชดใช้ตามยอดสินค้าที่หายเพราะต้องส่งให้ลูกค้าที่สั่งซื้อ
วันนี้ (6 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอุทัย เกตุแสนสี หรือบี อายุ 30 ปี ลูกจ้างไปรษณีย์นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาร้องขอความเป็นธรรม และขอความช่วยเหลือ หลังถูกลูกค้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.นางรอง พร้อมบังคับให้เซ็นรับผิดชอบชดใช้ค่าพัสดุที่สูญหายกว่า 2 แสนบาท ทั้งที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าพัสดุดังกล่าวหายไปได้อย่างไร แต่ยอมรับว่าได้เซ็นรับพัสดุที่ไปรษณีย์ก่อนออกไปนำจ่าย แต่ไม่ได้มีการตรวจเช็กว่าพัสดุที่เซ็นออกไปนำจ่ายครบหรือไม่ จึงไม่แน่ใจว่าพัสดุกล่องดังกล่าวหายในขั้นตอนไหน
จึงอยากให้ทางต้นสังกัดช่วยตรวจสอบว่าพัสดุดังกล่าวหายไปไหน และวอนให้ผู้รู้กฎหมายให้คำแนะนำหรือช่วยเหลือด้วย เพราะหลังจากที่ลูกค้าแจ้งความและกดดันให้เซ็นรับผิดชอบชดใช้ค่าพัสดุที่สูญหาย ก็ยอมเซ็นไปก่อนเพราะไม่รู้ขั้นตอนกฎหมาย ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหาเงินที่ไหนไปชดใช้ เพราะเพิ่งทำงานนำจ่ายพัสดุได้แค่ประมาณ 7 เดือนเท่านั้น
นายอุทัยเล่าว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา ช่วงบ่าย ได้ขับรถออกไปส่งพัสดุให้ลูกค้าตามปกติ โดยได้ไปส่งในเขตเทศบาลเมืองนางรอง ซึ่งใช้ถนนหมายเลข 24 ผ่านหน้าห้างทวีกิจ ไปที่ห้างฮกกี่ ก่อนจะวนไปส่งในหมู่บ้านจัดสรร สถานีขนส่งผู้โดยสารนางรอง ซึ่งเป็นรายของลูกค้าที่พัสดุหาย แต่พอไปถึงบ้านลูกค้ารายนี้กลับหาพัสดุไม่เจอ จึงบอกกับลูกค้าว่าขอกลับไปดูที่ไปรษณีย์อีกรอบ เพราะอาจจะนำพัสดุมาไม่ครบหรืออาจจะตกหล่นหรือไม่
แต่พอกลับไปดูที่ไปรษณีย์ก็ไม่พบจึงรีบขี่รถจักรยานยนต์ไปหาลูกค้าและบอกว่าพัสดุของลูกค้าหายไป แต่ตอนนั้นเครื่องที่ตนใช้งานบันทึกข้อมูลพัสดุ มีเหงื่อหยดไปโดนหน้าจอทำให้ระบบรวนไปโดนเซ็นรับพัสดุเอง ทั้งที่ยังไม่มีการส่งพัสดุให้ลูกค้า
กระทั่งวันที่ 3 เม.ย. 66 ได้เข้าไปพูดคุยกับลูกค้าเจ้าของพัสดุที่สถานีตำรวจ เพราะลูกค้าได้แจ้งความเอาไว้ จากนั้นวันที่ 4 เม.ย. ตนเลยขอให้เพจเฟซบุ๊กต่างๆ ช่วยโพสต์ตามหากล่องพัสดุที่สูญหาย แต่ก็ไม่มีใครแจ้งว่าพบพัสดุดังกล่าว จากนั้นได้เดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3-4 ครั้ง ล่าสุดคือวันที่ 12 พ.ค. 66 วันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าให้ตนยอมรับผิดและชดใช้ตามมูลค่าสินค้าในนั้นที่หายไป
โดยสินค้าเป็นพระเครื่องและเครื่องรางรวม 3 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท ตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรและไม่มีใครให้ปรึกษาจึงยอมเซ็นไปก่อน โดยในเอกสารที่เซ็นระบุให้จ่ายงวดแรกวันที่ 15 มิ.ย. 66 จำนวน 50,000 บาท ที่เหลือก็ทยอยจ่าย ตนก็ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปจ่าย และอยากให้มีการตรวจสอบให้ชัดเจนว่าที่จริงพัสดุดังกล่าวหายไปไหน เพราะตนยืนยันว่าไม่ได้เอาไปแน่นอนก็อยากได้รับความเป็นธรรมด้วย
ด้าน พงศ์พสิน หรือเม่น อายุ 28 ปี ลูกค้าที่เป็นเจ้าของพัสดุ เล่าว่า จริงๆ วันนั้นตนให้คนเข้าไปรับพัสดุที่ที่ทำการไปรษณีย์ แต่คลาดกับคนนำจ่ายเขาออกไปส่งพัสดุพอดี ส่วนพัสดุที่อยู่ในกล่องที่หายไปเป็นสินค้าที่สั่งมาจำหน่าย เพราะตนซื้อขายพระเครื่อง ราคาที่เช่ามา 228,000 บาท อันนี้เป็นราคาที่ตนจ่ายเงินเช่ามาอีกทียังไม่รวมกำไรที่ตนจะต้องขายไป แต่ก็ยังไม่ทันได้ขายสินค้าก็หายก่อน ที่ตนไปแจ้งความเพราะสินค้าหายจริง และที่เรียกค่าเสียหายจากพนักงานนำจ่ายเพราะเป็นคนเซ็นพัสดุออกไปนำจ่าย และในระบบก็ระบุว่ามีการเซ็นรับพัสดุด้วย ทั้งที่ตนเองยังไม่ได้รับพัสดุเลย
และยืนยันว่าไม่ได้บังคับให้เขาเซ็นรับชดใช้ เขาเซ็นเองตามความสมัครใจอาจจะเพราะด้วยพยานหลักฐานที่พบ และตนก็ให้ชดใช้แค่ 2 แสนบาท ทั้งที่ราคาจริงที่ซื้อมา 228,000 บาท ซึ่งพัสดุที่หายประกอบด้วย มีดหมอหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม, ปลัดขิกงาช้างแกะสลักหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม และงาช้างแกะสลัก หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เหลี่ยมทองเก่า หากเขาไม่ชำระตามที่ตกลงกัน ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย