ศูนย์ข่าวศรีราชา - นายกสมาคมไก่ สอนมวย “แรมโบ้” แซะเป็นสมาคมขี้ไก่ รู้หรือไม่สมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณก่อตั้งนานถึง 84 ปี สนับสนุนคนไทยให้เลี้ยงไก่สร้างรายได้ ซ้ำทำเงินตราเข้าไทยปีละกว่าแสนล้าน ยันเลือกตั้งคือความหวัง ส่วนการเมืองไม่ยุ่ง เผยประเด็นถูกแซะให้จ่ายค่าแรง 600 บาทหากชอบเพื่อไทย บอกวันนี้จ่ายได้ถึง 1,000 บาทต่อวันแล้ว
จากกรณีที่ ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ “แรมโบ้ อีสาน” ที่ปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะกรรมการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมากล่าวหา ดร.ฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือฉวีวรรณ กรุ๊ป ผู้ส่งออกเนื้อไก่ไทยรายใหญ่ของไทยว่าเป็นนายกสมาคมขี้ไก่ หลังออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเรื่องการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ถือเป็นความหวังที่คนไทยจะได้มีโอกาสได้เลือกอนาคตของตัวเองอีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า นายกสมาคมขี้ไก่มัวทำอะไรอยู่ถึงไม่เห็นผลงานของรัฐบาล เช่นเดียวกับเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันที่เบ่งบานเป็นอย่างมาก เป็นการกล่าวหาแบบเลื่อนลอยเพราะนายกรัฐมนตรีบริหารงานไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อย ไม่เหมือนอดีตรัฐบาลก่อนหน้าที่ดูเหมือนท่านนายกสมาคมขี้ไก่ จะชื่นชอบ อีกทั้งยังแซะให้ ดร.ฉวีวรรณ เริ่มปรับค่าแรงลูกจ้างในสมาคมฯ ให้ได้ 600 บาทต่อวันเพื่อนำร่องให้ภาคธุรกิจอื่นๆ หลังชื่นชอบนโยบายของพรรคเพื่อไทยนั้น
วันนี้ (31 มี.ค.) ดร.ฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือฉวีวรรณ กรุ๊ป ได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชนอีกครั้งว่า การที่ตนเองออกมาพูดถึงวิกฤตเศรษฐกิจในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าจะต้องเลือกคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน และแก้ไขปัญหาในหลายๆ ด้านที่เกิดขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงไปในด้านต่างๆ ของโลก
ยืนยันว่าระหว่างการสัมภาษณ์ไม่เคยมีการกล่าวโจมตีพรรคการเมือง หรือบุคคลใด อีกทั้งยังไม่มีการให้สัมภาษณ์เพื่อสนับสนุนพรรคเพื่อไทย จึงเชื่อว่า นายแรมโบ้ อ่านบทสัมภาษณ์ไม่ครบบรรทัด
โดยเฉพาะเรื่องการให้ความเห็นเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาท ว่าหากเกิดขึ้นจริงถือเป็นเรื่องดี แต่ผู้ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต้องมีการจัดการกับระบบเศรษฐกิจเพื่อให้ผู้ประกอบการมีกำลังที่จะจ่ายให้แรงงานได้ เช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการชื่นชมหรือสนับสนุนพรรคการเมืองใดเพราะตนเองต้องมีความเป็นกลาง
“กรณีที่นายแรมโบ้ บอกว่าสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ฯ เป็นสมาคมขี้ไก่นั้น ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรหลุดออกจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมือง เพราะการจะเป็นสมาคมได้นั้นจะต้องมีการขอจดทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งที่ผ่านมา ฉวีวรรณ ยังไม่เคยจดทะเบียนสมาคมขี้ไก่ แต่หากนายแรมโบ้ สนใจก็ให้ไปจดทะเบียนเป็นนายกสมาคมคนแรก”
ดร.ฉวีวรรณ ยังแนะนำไปถึง นายแรมโบ้ ว่าก่อนที่จะพูดอะไรให้ศึกษาประวัติและความเป็นมาของสิ่งนั้นให้ชัดเจน ซึ่งสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ จากในหลวง ให้จัดตั้งเป็นสมาคมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ให้มีแนวทางในการพัฒนาด้านการเกษตรที่สามารถสร้างอาชีพเลี้ยงตัวเอง
ปัจจุบัน สมาคมฯ ได้ก่อตั้งมานานถึง 84 ปี สร้างรายได้จากการส่งออกเนื้อไก่และไข่ไปต่างประเทศไม่น้อยกว่าหลักแสนล้านบาทต่อปี
เช่นเดียวกับกรณีที่ นายแรมโบ้ อ้างว่าธุรกิจของกลุ่มฉวีรรณ กรุ๊ป ที่สามารถดำเนินอยู่ได้ตลอดช่วงโควิดระบาด 2 ปีกว่าเป็นเพราะฝีมือของรัฐบาลที่ช่วยทำให้ภาคส่วนต่างๆ สามารถรักษาผลประกอบการและเดินหน้าทำธุรกิจได้นั้น ถือเป็นเรื่องที่รู้ไม่จริงและไม่มีความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจ เพราะการที่ภาคเอกชนจะอยู่รอดได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของตนเอง ทั้งในเรื่องการผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการ และให้เป็นไปตามมาตรการด้านฟูดเซฟตี้ที่ประเทศคู่ค้ากำหนดไว้
อีกทั้งยังต้องใช้เงินทุนมหาศาลและระบบการจัดการที่ดี เพราะหากผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐานและมีสารปนเปื้อนสินค้าทั้งหมดจะถูกตีกลับ โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ผู้ประกอบการต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักแต่รัฐบาลกลับยื่นมือช่วยเหลืออย่างไม่เต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเดินต่อไปได้จนทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องหยุดดำเนินการ
“ส่วนกรณีที่ คุณแรมโบ้ บอกให้ธุรกิจของบริษัทปรับค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทให้ได้ก่อนเพื่อนำร่องให้ผู้ประกอบการอื่นๆ หากชื่นชอบนโยบายของพรรคเพื่อไทยนั้น ขอบอกวันนี้ ฉวีวรรณ กรุ๊ป จ่ายค่าแรงให้แรงงานแบบเหมาจ่ายได้สูงถึง 1,000 บาทต่อวัน และเป็นเช่นนี้มานานแล้ว ทั้งนี้ ไม่ใช่เพราะชื่นชอบนโยบายของพรรคการเมืองใด แต่เป็นการจ่ายค่าแรงตามความสามารถของแรงงานที่มีทักษะฝีมือ ซึ่งบริษัทฯ ได้สนับสนุนให้บุคคลเหล่านี้ได้มีการพัฒนาตนเองมาโดยตลอด”
ไม่เพียงเท่านั้นในแต่ละปีฉวีวรรณ กรุ๊ป ยังมีการว่าจ้างนักศึกษาจบใหม่ในสายงานที่ตรงกับความต้องการของบริษัทเป็นจำนวนมากเพื่อให้บัณฑิตเหล่านี้ไม่ต้องเดินทางไปทำงานนอกพื้นที่ และยังเป็นการช่วยกันพัฒนาธุรกิจให้สามารถเลี้ยงตนเองและแรงงานได้
และในกรณี่ นายแรมโบ้ บอกว่าประเทศไทยได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลกในการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 และการให้บริการสาธารณสุขที่ทั่วถึง ซึ่งนายกสมาคมขี้ไก่ มัวทำอะไรอยู่ถึงไม่เห็นผลงานของรัฐบาลนั้น
ดร.ฉวีวรรณ เผยว่าเป็นคนละเรื่องและคนละประเด็นกับที่ตนเองพูดถึงเรื่องระบบสาธารณสุขไทย เพราะเป็นการเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลเรื่องสถานพยาบาล เครื่องมือทางการแพทย์ และบุคลากรในถิ่นทุรกันดารให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
“ที่กล้าพูดในเรื่องระบบสาธารณสุขในถิ่นทุรกันดารเพราะในแต่ละปีจะลงพื้นที่ต่างๆ ไปช่วยเหลือและสนับสนุนชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล ทั้งการสนับสนุนเงินก่อสร้างสถานที่ มอบอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ดังนั้น การที่นายแรมโบ้ พูดถึงเรื่องการจัดการโควิดถือเป็นคนละเรื่องกัน เช่นเดียวกับเรื่องระบบการศึกษา ที่บอกว่าตกต่ำเพราะการเป็นคณะกรรมการสถานศึกษาในกรุงเทพฯ ทำให้ได้เห็นการศึกษาของเด็กไทยว่าในวันนี้จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้มากขึ้นไม่เช่นนั้นจะไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงไปของโลก” ดร.ฉวีวรรณ กล่าว