xs
xsm
sm
md
lg

นายกสมาคมไก่ฯ แนะคนไทยมีสติเลือกตั้ง 66 ใช้วิกฤต 8 ปีเตือนใจ พังทั้งการศึกษา-เศรษฐกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์ข่าวศรีราชา - นายกสมาคมฯ ไก่ชี้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่คือความหวังของคนไทยแนะมีโอกาสเลือกอนาคตตัวเองอีกครั้ง เลือกคนทำงานเป็น-แก้เศรษฐกิจได้ เลิกระบบอุปถัมภ์ทำชาติพัง ยกวิกฤต 8 ปีเตือนใจ เหตุการศึกษา-เศรษฐกิจการค้าตกต่ำเพราะ รมต.ทำงานไม่เป็น

วันนี้ (23 มี.ค.) ดร.ฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือฉวีวรรณ กรุ๊ป ผู้ส่งออกเนื้อไก่ไทยรายใหญ่ของไทย เผยถึงการประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเดือน พ.ค.66 ถือเป็นความหวังที่คนไทยจะได้มีโอกาสได้เลือกอนาคตของตัวเองอีกครั้งว่าจะย่ำอยู่กับที่ หรือร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศให้ก้าวทันการเปลี่ยนไปของโลก

พร้อมยังบอกอีกว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา คนไทยต้องเผชิญกับความลำบากทั้งวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 และเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างหนัก ไม่เพียงเท่านั้น ระบบการศึกษาไทยยังย่ำแย่ถึงขีดสุด ซึ่งปัญหาทั้งหมดมาจากระบบอุปถัมภ์ที่ถูกนำมาใช้ในการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี โดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถ สุดท้ายจึงสร้างปัญหาให้คนไทยทั้งประเทศ

ไม่นับรวมการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นอย่างหนักจนกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ระหว่างองค์กรของรัฐกับเอกชน ว่าหากไม่จ่ายงานก็เดินไม่ได้


“การเลือกตั้งใหม่ในเดือน พ.ค.คนไทยจะได้กลับมาเป็นเจ้านายของนักการเมืองอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ประชาชนจะต้องเลือกคนเข้าทำงานในสภาฯ อย่างมีสติ ต้องคิดให้ดีว่านโยบายที่นักการเมืองประกาศไว้ทำได้จริงหรือไม่ เพราะในวันนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก คนไทยจึงต้องมีสติและฉลาด ไม่ใช่เห็นแก่เงินแล้วกาเบอร์ที่จ่ายและสุดท้ายต้องมาทนทุกข์กันอีก 4 ปี”

ดร.ฉวีวรรณ ยังบอกอีกว่า บทเรียนที่คนไทยได้รับจากนักการเมืองในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา นอกจากระบบการศึกษา เศรษฐกิจ และการคอร์รัปชันแล้ว หากใครได้มีโอกาสเดินทางไปพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร จะเห็นได้ว่า ระบบสาธารณสุขทั้งในระดับหมู่บ้าน ตำบล หรือแม้แต่ระดับจังหวัดบางแห่งย่ำแย่ และไม่ได้รับการเหลียวแลจากภาครัฐ

“จากการลงพื้นที่ต่างๆ ที่ผ่านมาเห็นได้เลยสถานีอนามัยประจำตำบล หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดบางแห่งไม่มีความเจริญ ดังนั้นรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาดูแลประเทศต้องเข้ามาดูและให้ความสำคัญในส่วนนี้ด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้มีอันจะกินในพื้นที่ หรือประชาชนด้วยการจัดหางบประมาณมาช่วยกันเอง”


ส่วนกรณีที่มีผู้ประกอการจำนวนมากถามถึงนโยบายของพรรคการเมืองหนึ่งที่ประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวันนั้น ดร.ฉวีวรรณ เผยว่า ภาวะเงินเฟ้อของไทยรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ราคาสินค้าต่างพุ่งสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 30-40% ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงจึงจำเป็น แต่พรรคการเมืองที่ประกาศนโยบายไว้จะต้องมีวิธีในการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้เอกชนมีความสามารถในการสร้างรายได้เพื่อจะได้มีเงินจ่ายค่าแรง

“ในวันนี้ค่าไฟ ค่าน้ำมันแพงขึ้นมากจนทำให้ค่าใช้จ่ายของบริษัทต่างๆ พุ่งตามไปด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดรัฐบาลจึงคิดนโยบายเรื่องการผลักภาระค่าพลังงานให้ประชาชนแบกรับเช่นนี้ ยกตัวอย่างบริษัทในกลุ่มฉวีวรรณ กรุ๊ป ค่าไฟเดิมอยู่ที่เดือนละ 20 ล้านบาท แต่เดือนนี้ค่าไฟพุ่งเป็น 26 ล้านบาท ไหนจะต้องแบกค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากเราไม่รู้วิธีการปรับตัวให้อยู่รอด คงไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าไฟ”

ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 66 ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น เหตุจากการส่งออกไก่ในช่วงเดือน ธ.ค.65-ก.พ.66 ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซันยอดการสั่งซื้อลดลงจนแทบไม่มี แต่มาถึงวันนี้เมื่อเข้าสู่ช่วงไฮซีซันที่สินค้าส่งออกได้ ราคาไม่ปรับขึ้นตามเพราะหลายประเทศทั่วโลกเริ่มประหยัด


“วันนี้ภาคเอกชนต้องการรัฐบาลใหม่ที่มีนโยบายทางเศรษฐกิจที่สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ ไม่ใช่ส่ง รมต.ไปประชุมกับต่างชาติก็ขายสินค้าไม่เป็น เขาเสนออะไรมาก็เอาหมดจนถูกเอาเปรียบ ที่สำคัญรัฐบาลใหม่ต้องสามารถแก้ปัญหาเรื่องค่าไฟแพงได้ เพราะถือเป็นต้นทุนใหญ่ของผู้ประกอบการ”

ดร.ฉวีวรรณ ยังฝากถึงคนไทยอีกว่าในยุคค่าครองชีพแพง และค่าไฟพุ่งกระฉูดเช่นนี้ ระบบโซลาร์เซลล์ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่คนไทยต้องหันมาใช้และช่วยเหลือตัวเองเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในวันนี้กลุ่มฉวีวรรณ กรุ๊ป เลือกใช้เป็นหนทางในการลดค่าไฟเช่นกัน




กำลังโหลดความคิดเห็น