หนาวๆ ร้อนๆ กันเป็นแถบสำหรับเจ้าของสวนทุเรียนที่ไม่ใช่คนทำสวน แต่เพิ่งเข้ามากว้านซื้อสวนทุเรียนที่พร้อมเก็บผลผลิตส่งขาย หลัง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองออกมาเปลือยภาพที่ “สารวัตรซัว” ถ่ายกับลูกจ้างสวนทุเรียน ที่เมื่อคนพื้นที่ไปดูมาแล้วสรุปได้ว่าคล้ายกับสวนทุเรียนที่ชื่อ Pentor Durian Land (เป็นต่อ ทุเรียน แลนด์) ซึ่งตั้งอยู่ใน ต.เขาแก้ว อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ยิ่งนัก
“ทีมข่าวเฉพาะกิจ” แมเนเจอร์ ออนไลน์ ซึ่งลงสำรวจพื้นที่จริงพบว่า สวนแห่งนี้อยู่ลึกเกือบถึง อ.แก่งหางแมว โดยอยู่ห่างจากถนนสุขุมวิท ราว 30 กิโลเมตร แต่ที่ทำให้สะดุดตาและสะดุใจคือ สวนทุเรียนแห่งนี้จัดว่าเป็นสวนที่มีพื้นที่สวยมาก เพราะไม่เพียงแต่เป็นสวนทุเรียนแปลงใหญ่ที่ปลูกบนที่ดินสลับเนินเขาราวๆ 200-250 ไร่เท่านั้น
สวนทุเรียนดังกล่าวยังเป็นพื้นที่แปลงใหญ่ที่มีถนนคั่นกลาง โดยพื้นที่อีกฝั่งยังมีเนื้อที่ประมาณ 30-50 ไร่ และมีต้นทุเรียนที่มีอายุราว 7 ปี และให้ผลผลิตแล้ว
ขณะที่ภาพสิ่งปลูกสร้างอยู่บนเนินในลักษณะอาคารสีขาวมีกันสาดที่คล้ายกับที่นายชูวิทย์ โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ได้รับการยืนยันจากชาวบ้านในพื้นที่ว่า ผู้ที่จะซื้อสวนทุเรียนในลักษณะนี้ได้ต้องเป็นคนที่มีทุนหนาพอสมควร เพราะที่ดินพร้อมสวนทุเรียนที่ซื้อขายต่อไร่ในพื้นที่ที่อยู่ลึกมากเช่นนี้ราคาค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับที่ดินที่มีต้นยางพาราซึ่งถูกกว่ากันเกือบครึ่ง
ทีมข่าวเฉพาะกิจยังได้รับรายงานว่า ชื่อของผู้ซื้อสวนทุเรียนแห่งนี้ที่ถูกระบุว่า คือ นางสุชาดา อดีตเคยเป็นครูใน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี และปัจจุบันยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอีกมากมายในพื้นที่แห่งนี้อีกด้วย
โดยแหล่งข่าวบอกว่า สวนทุเรียนดังกล่าวเพิ่งเปลี่ยนมือจากอดีตผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งมาเป็นหญิงที่ชื่อสุชาดา ได้ประมาณ 2 ปี ซึ่งราคาซื้อขายในขณะนั้นน่าจะไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ชื่อของ “สารวัตรซัว” เป็นที่รู้จักมักคุ้นในบรรดานักธุรกิจรุ่นใหม่และกลุ่มไฮโซเมืองจันท์ อีกทั้ง “สารวัตรซัว” ยังมีความใกล้ชิดกับข้าราชการตำรวจระดับสูงในพื้นที่ภาคตะวันออกทั้งในอดีตและปัจจุบันหลายคน
หนึ่งในนักธุรกิจรุ่นใหม่บอกว่ารู้จัก “สารวัตรซัว” มานานแล้ว และทุกคนรู้ถึงพฤติกรรมของบุคคลผู้นี้เป็นอย่างดีแต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเพราะมีเส้นสายกับคนใหญ่คนโตจำนวนมาก และเมื่อ “สารวัตรซัว” ตกเป็นข่าวโด่งดังจากคดีเว็บพนันออนไลน์มาเก๊า 888
อีกทั้งเมื่อถูก นายชูวิทย์ แฉว่าเกี่ยวข้องกับสวนทุเรียน 300 ไร่ ที่ จ.จันทบุรี ยิ่งทำให้หลายคนคลายข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงมีเงินมากมายในการลงทุน
นอมินีไทยแห่กว้านซื้อสวนทุเรียนทั้งในพื้นที่ จ.จันทบุรี และตราด ให้ทุนต่างชาติ
และไม่เพียงแต่ “สารวัตรซัว” จะเกี่ยวข้องกับสวนทุเรียนใน จ.จันทบุรี โดยใช้ชื่อบุคคลอื่นออกหน้าเท่านั้น จากการตรวจสอบข้อมูลของ “ทีมข่าวเฉพาะกิจ” ยังพบว่าขณะนี้มีกลุ่มชาวไทยที่ซึ่งเป็นนอมินีให้ทุนจีนพากันเข้ามากว้านซื้อสวนทุเรียนแปลงละ 100, 200 และ 300 ไร่ใน จ.จันทบุรี และตราด เพื่อทำธุรกิจส่งทุเรียนไปสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกเป็นจำนวนมากเช่นกัน
โดยผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า ในห้วงเกือบ 4 ปีมานี้มีการกว้านซื้อสวนทุเรียนในภาคตะวันออกโดยใช้เงินสดที่มีนอมินีคนไทยเป็นผู้ดำเนินการ และใช้ชื่อถือครองเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐอย่างต่อเนื่อง
“คนไทยที่เป็นนอมินีมากว้านซื้อสวนทุเรียนในภาคตะวันออกให้กลุ่มคนจีน คือผู้ประกอบการส่งออก (บางคน) หรือคนที่หาทุเรียนส่งพ่อค้าจีนโดยตรง ซึ่งคนกลุ่มนี้จะรับคำสั่งเพื่อทำตามความต้องการของกลุ่มทุนจีนมานานแล้ว ซึ่งหากทุนจีนต้องการสวนทุเรียนและมีเจ้าของสวนที่พร้อมขายจะใช้เวลาไม่เกิน 3-5 วันในการดำเนินการและจ่ายเงินสดในทันที ซึ่งไม่รู้ว่าบุคคลเหล่านี้คือขบวนการฟอกเงินหรือไม่” ผู้ประกอบการล้ง กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้เชื่อว่าบรรดา “อาเจํ และเฮีย” ในวงการทุเรียนภาคตะวันออกต่างรู้ดีว่าพื้นที่ที่ถูกกว้านซื้อจากนอมินีคนจีนอยู่จุดใดบ้าง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าของสวนผู้ทำสวนตัวจริงต่างพากันกังวลว่า หากรัฐบาลยังปล่อยให้มีการรุกคืบของทุนต่างชาติในลักษณะเช่นนี้ อนาคตชาวสวนทุเรียนไทยตัวจริงมีอันที่จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
เพราะหากสวนทุเรียนในไทยตกไปอยู่ในมือต่างชาติที่มีคนไทยร่วมเป็นนอมินี สุดท้ายเมื่อถึงเวลาเก็บผลผลิตส่งขาย การกำหนดราคาซื้อจะอยู่ในมือทุนจีนทั้งหมด โดยที่ชาวสวนทุเรียนไทยไม่มีสิทธิแม้แต่จะตั้งราคาขายได้เอง
ไม่เพียงเท่านั้น ในวันนี้นอกจากสวนทุเรียนที่ถูกกว้านซื้อแล้ว นอมินีชาวไทยยังพยายามกว้านซื้อที่ดินเปล่าเพื่อทำตลาดสินค้าเกษตรกลางสำหรับส่งผลไม้ไปขายที่ประเทศจีน หรือใช้สำหรับพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์ให้กลุ่มทุนจีนเหล่านี้อีกด้วย
และยังมีเสียงกระซิบแว่วมาหนาหูว่า หลังจากที่ทุนจีนสีเทาถูกรัฐบาลไทยปราบปรามอย่างหนักได้เริ่มทำให้วงการทุเรียนเริ่มระส่ำ เพราะจนถึงวันนี้พ่อค้าคนจีนยังไม่มีทีท่าว่าจะสั่งซื้อทุเรียนจากประเทศไทย ซึ่งในจุดนี้ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ หรือแท้จริงยังมีสิ่งใดที่เคลือบแคลงใจนักลงทุนจีน