บุรีรัมย์- ร้านข้าวจี่-ข้าวเหนียว-หมูปิ้งอาหารยอดฮิตคนอีสานกระทบหนัก ทั้งเนื้อหมู ข้าวเหนียวและถ่าน ซึ่งเป็นวัตถุหลักแพงขึ้น ทำต้นทุนเพิ่มจากเดิมเกือบเท่าตัวกระทบรายได้ลดลง เตรียมปรับขึ้นราคาอีก 1 -2 บาท เพื่อความอยู่รอด วอนรัฐเร่งแก้ปัญหาหรือควบคุมราคาไม่ให้ข้าวของแพง
วันนี้ (23 มิ.ย.) ร้านข้าวจี่ หมูปิ้งที่สามแม่ลูกเปิดขายอยู่ริมถนนรอบเมือง ใกล้กับอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ มากว่า 10 ปี ซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตของคนอีสาน ได้รับผลกระทบหนัก หลังจากเนื้อหมู ข้าวเหนียว และถ่าน ซึ่งเป็นวัตถุหลักมีราคาแพงขึ้น อาทิ เนื้อหมูจากก่อนหน้านี้กิโลกรัมละ 150 - 160 บาท ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 180 บาท ข้าวเหนียวเมื่อก่อนกิโลกรัมละ 25 บาท ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 28 บาท ส่วนถ่านจากก่อนหน้านี้ถุงละ 35 บาท ปรับขึ้นเป็นถุงละ 45 บาท ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว และส่งผลกระทบต่อรายได้หรือกำไรก็ลดลงตามไปด้วย
จากเมื่อก่อนเคยขายได้วันละ 5 – 6 พันบาท ปัจจุบันเหลือวันละ 3 – 4 พันบาทเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ปรับราคาข้าวจี่ หมูปิ้งเพราะเห็นใจลูกค้า แต่หากราคาวัตถุดิบแพงขึ้นกว่านี้อีกอาจต้องปรับราคาขายข้าวจี่ หมูปิ้งขึ้นจากเดิมอย่างละ 1 – 2 บาท ตามภาวะต้นทุนเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน
น.ส.วิลาวรรณ เพิ่มศรี แม่ค้าขายข้าวจี่ หมูปิ้ง บอกว่า ตนและพ่อแม่ทำอาชีพขายข้าวจี่ หมูปิ้ง มาประมาณ 10 ปีแล้ว ราคาวัตถุดิบไม่เคยแพงถึงขนาดนี้เลย ยอมรับว่าตอนนี้ต้องแบกรับภาระต้นทุนในการซื้อวัตถุดิบไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู ข้าวเหนียว และถ่าน เพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว ตอนนี้ก็ทำได้แค่ลดปริมาณการสั่งวัตถุดิบลงตามจำนวนเงินในกระเป๋าที่มี เช่น เนื้อหมูเคยสั่งวันละ 10 กิโลกรัม ลดเหลือ 3 – 5 กิโลกรัม ข้าวสารเหนียวเคยสั่งวันละ 27 กิโลกรัม ลดเหลือ 15 กิโลกรัม ส่วนถ่านเคยซื้อวันละ 6 ถุง ลดเหลือวันละ 3 ถุง
ตอนนี้ยังไม่ได้ปรับราคาข้าวจี่ หมูปิ้ง ยังขายราคาเดิมคือ ข้าวจี่ไม้ละ 5 บาท หมูปิ้งไม้ละ 10 บาท แต่หากวัตถุดิบปรับราคาขึ้นอีก ก็จำเป็นจะต้องปรับราคาข้าวจี่ หมูปิ้งอีกอย่างละ 1 – 2 บาท เพื่อความอยู่รอด จากผลกระทบดังกล่าวก็อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาหรือควบคุมราคาไม่ให้แพงขึ้นมากกว่านี้ เพราะตอนนี้เดือดร้อนทั้งคนขาย และผู้บริโภค